วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

ASSIGMENT




          Search engine optimization (SEO) คือ ขบวนการปรับเเต่งเว็บไซต์ด้วยเทคนิควิธีเฉพาะด้าน เพื่อให้เว็บไซต์ปรากฎอยู่ในตําเเหน่งอันดับต้นๆ ของเว็บ Search Engines ชั้นนำของโลก เช่น Google,Yahoo,Bing,Gigablast,Exalead,Alexa, Entireweb,Mahalo,Zuula ในผลการค้นหาคำ ( Search Keyword )ที่เราต้องการ

         ซึ่ง วิธีการทำ SEO นั้นจะประกอบไปด้วย การปรับปรุง-เพิ่มคำสำคัญหรือศัพท์เทคนิคเรียกว่า (คีย์เวิร์ด) ในหน้าเว็บไซต์ ตลอดจนการปรับแต่งหน้าเว็บให้มีขนาดเล็ก การใช้ meta tag การปรับโค๊ดเว็บไซต์, วิธีการนำเสนอ, ตัวโครงสร้างเว็บไซต์ และที่สำคัญเหนืออื่นใดคือเนื้อหาที่ดีมีประโยชน์ และเป็นเนื้อหาที่ไม่ได้คัดลอกมาจากที่ใดเป็นต้นฉบับ และเทคนิควิธีอื่นๆ ควบคู่กันไป

          ดังนั้น การทําSEO เมื่อถึงเวลาตามที่ได้วางเเผนไว้ เมื่อมีผู้เข้าชมเว็บไซต์ทำการค้นหาข้อมมูล บนเว็บ Search Engines เช่น Google ด้วยคำที่เกี่ยวข้องกับสินค้า หรือ บริการของเว็บไซต์นั้นๆ ก็จะทำให้สินค้า และบริการนั้นๆ ถูกค้นพบหรือปรากฎในอันดับต้นๆได้มากยิ่งขึ้น นั่นหมายถึงโอกาสการทําธุรกิจ หรือโอกาสการขายสินค้าหรือบริการนั่นเอง


ขั้นตอนที่ 1 เริ่มต้นการวิเคราะห์

          ขั้นตอนแรกของเราคือการดำเนินการวิเคราะห์สถานของเว็บไซต์ปัจจุบัน การเพิ่มประสิทธิภาพหน้าเช่นเดียวกับที่เราจะระบุกำหนดเป้าหมายสำหรับนอกสถานที่ การเพิ่มประสิทธิภาพ ตัวอย่างในการวิเคราะห์ เช่น มีตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณคืออะไร ?  สิ่งที่ผลิตภัณฑ์และบริการของคุณนำเสนอการในแข่งขันคืออะไร?  ผู้ชมเป้าหมายของคุณคือใคร?  เป็นต้น


ขั้นที่ 2  การวิเคราะห์คำหลัก

          การเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาที่ดีควรเริ่มต้นด้วยคำหลักที่ยอดเยี่ยม  การใช้เวลาเพื่อใช้วิเคราะห์ในการหาคำหลักที่ดีนั้นสามารถเป็นประโยชน์ต่อทำ SEO การ ระบุวลีหรือคำหลักหลายตัวนั้น ผลลัพธ์ที่ได้สามารถเชื่อมไปยังเว็บไซต์ของคุณได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ ความสำเร็จในการดำเนินการวิจัยคำหลักในเชิงลึก ที่จะใช้คำที่สำคัญที่สุดของคุณ สามารถ ตรวจสอบกับฐานข้อมูลเครื่องมือค้นหา ของจริงในการค้นหาคำหลัก

ขั้นที่ 3 การวิจัยคู่แข่ง

          ดูในสิ่งที่ได้เปรียบเหนือจากคู่แข่ง รู้ว่าสิ่งที่คู่แข่งของคุณใช่คืออะไร เหมือนกับสิ่งที่คุณใช้หรือไม่ นอกจากนี้ยังดูถึงประสิทธิภาพในการเชื่อมโยงไปยังเว็บไซน์ของคู่แข่งด้วย การวิจัยคู่แข่งนั้นส่งเสริมให้คุณดูที่คุณภาพของการจัดอันดับบนเว็บไซต์ในการวัดเกณฑ์ในการเข้าถึง ว่าสูงหรือไม่

ขั้นที่ 4 การวิเคราะห์การแข่งขัน

          การทำความเข้าใจเว็บไซต์ของคู่แข่งของคุณเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำ SEO ความสำเร็จ เรามองไปที่ความแข็งแรงของเว็บไซต์ของคู่แข่งของคุณ จากมุมมองของเครื่องมือค้นหา การวิเคราะห์การแข่งขันของเราจะ บอกเราทุกอย่างที่เราจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับเว็บไซต์ของพวกเขารวมทั้ง จำนวนการเชื่อมโยงจะชี้ไปที่เว็บไซต์ของพวกเขาที่พวกเขาจะ มาจากและวิธีการที่แข็งแกร่งในการเชื่อมโยงสิ่งเหล่านั้นจริงๆ เราจะ ยังมองปัจจัยที่เพิ่มเติมรวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพ สำหรับคำหลักที่กำหนดเป้าหมาย

ขั้นที่ 5 กลไกค้นหาและ Directory Submission

          วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายต่อการได้รับจำนวนมากของการเชื่อมโยงเริ่มต้นกลับไปยังเว็บไซต์ของคุณ ลงทะเบียนกับเครื่องมือค้นหาและนี้จะกระตุ้นให้พวกเขาเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์และดัชนีหน้าเว็บทั้งหมดของคุณ บางไดเรกทอรีได้ดี PR (จัดอันดับหน้า) ซึ่งหมายความว่าคุณจะได้รับลิงค์ที่เกี่ยวข้องจากเว็บไซต์

ขั้นที่ 6 Social Book Marking

          Social Book Marking ได้รับการยอมรับว่าเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพเมื่อโฆษณาเว็บไซต์ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้กับรายการเว็บไซต์บนเว็บ เพื่อที่จะสามารถตรวจสอบและสามารถใช้เว็บได้ในภายหลังเมื่อมีความต้องการ และยังสามารถช่วยจัดอันดับของเครื่องมือค้นหาข้อมูลได้อีกด้วย

          Social Book Marking ถูกกำหนดโดยวิกิพีเดียเป็นวิธีการสำหรับให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทำการจัดเก็บ ,จัดระเบียบ, ค้นหา, และจัดการบุ๊คมาร์คของหน้าเว็บบนอินเทอร์เน็ต

ขั้นที่ 7 บทความทางการตลาด
         
         การตลาดบทความเป็นลักษณะที่มีประสิทธิภาพมากของ SEO ส่งบทความไปยังเว็บไซต์บทความเช่น เคล็ดลับ มี 2 ประโยชน์ที่สำคัญ ประการแรกมันช่วยให้คุณสามารถสร้างการเชื่อมโยงกลับไปยังเว็บไซต์ของคุณ ประการที่สองเป็นบทความมีอิสระในการเผยแพร่บทความของคุณหากได้รับการใช้โดยทุกคนพวกเขาจะต้องมีการเชื่อมโยงเดิมจากบทความของคุณ

ขั้นที่ 8 Link ทางกลยุทธ์

          ลิงค์มีความสำคัญต่อการเพิ่มการจัดอันดับของเครื่องมือค้นหาของคุณ อย่างไรก็ตามมันไม่ได้เป็นเพียงกรณีของอาคารที่เชื่อมโยงให้ได้มากที่สุด หลีกเลี่ยงการสร้างการเชื่อมโยงจากเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับช่องของคุณเป็นเหล่านี้อาจจะทำให้เกิดความเสียหายมากกว่าผลดี

ขั้นที่ 9 สื่อสังคม

          มีหลายรูปแบบของสื่อทางสังคม คุณเคยได้ยินทั้งหมดของเว็บไซต์เช่น MySpace, Facebook, Twitter เมื่อเร็ว ๆ นี้ สื่อสังคมเป็นที่ดีสำหรับการขับรถการจราจรไปยังเว็บไซต์ของคุณและได้รับ เว็บไซต์ของคุณในด้านหน้าของผู้ชมเป้าหมายของคุณในเวลาเดียวกันเป็นอาคาร เชื่อมโยงกลับที่เราทราบว่าเป็นสิ่งสำคัญในการวางตำแหน่งเครื่องมือค้นหาของคุณขั้นที่ 10 จัดอันดับเว็บ และ รายงาน Link

          การรายงานเกี่ยวกับที่คุณมีการจัดอันดับสำหรับคำหลักและผู้ที่จะเชื่อม โยงกลับไปที่คุณจะช่วยให้คุณตรวจสอบแคมเปญออนไลน์ของคุณอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้คุณยังสามารถเรียกใช้รายงานเหล่านี้กับคู่แข่งของคุณจะทราบวิธีแคมเปญการตลาดออนไลน์




Exercises 1

1.Which queries would match a page containing “GoogleGuide”?
a. guide
b. leg
c. googleguide*
d. GoogleGuide*
e. google

Ans c,d

2.Which words the following query will find
a. non-profit
non-profit, non profit, nonprofit
b. non profit
non profit, nonprofit
c. Nonprofit
nonprofit

Exercises 2

1.How many square kilometers are 1000 acres?
Ans  4.047

2.What is patent 5123123 about?
Ans  Bathtub overflow control device อ้างอิงจาก http://www.google.com/patents/US5123123

3.How was the Polish city BILGORAY spelled in Hebrew in a picture of a page from a book written there?
Ans  bʲiwˈɡɔraj

4.Find a paper by Ericson about the effects of anti-depressants during pregnancy
Ans  http://ukpmc.ac.uk/abstract/MED/19698902/reload=0;jsessionid=52bPc0BYPknCNcgI1BQI.0


5.Find a list of restaurants and synagogues less than a mile far from the Holiday Inn Crowne Plaza at San Francisco Union Square.
Ans  
Restaurants
1.Farallon
2.Sears Fine Food
3.Lori's Diner
4.Scala's Bistro
5.Harry Denton's Starlight Room
6.Sotano Grill
7.Roxanne's
8.Uncle Vito's Pizza
9.Daffodil Restaurant

Synagogues
1.Taoist Association of America
2.American Chinese Presbyterian
3.Diocese of the West
4.Congregation Keneseth Israel


Exercises 3

1.Search for a keyword in a big website
(example "acid rain" site:epa.gov)

Ans
Google = 2,440 results
Bing = 4,520 results
AOL = 2,360 results
Yahoo = 2,270 results
("HON" site:http://www.hon.in.th)


2.What is the zipcode of 8 Hachermon st. in Kfar Sava?
Ans 44252

3.What was the exchange rate of Canadian dollars (in us dollars) from 20 Sep 1991?
Ans  0.88067 อ้างอิงจาก http://www.tititudorancea.com/z/fx_cad_19910920.htm

4.What was the value of Berkshire stock (BRK.A) on Nov. 12 1996?

5.Who designed Teldan’s website, as existed in May 1998?
Ans  Catom web design

8.Find a website/database relevant to your work study.
Example: market research, news, stock exchanges, industry.
Ans  http://www.websitedatabases.com/


Exercises 4

1.What are the relevant/related topics to “billing software”?
Ans  Accounting software,Open Source software,Invoicing Software

2.Find authoritative press releases sites.
Ans  http://www.highervisibility.com/blog/writing-authoritative-press-releases-for-greater-visibility/

3.How much is 1 US$ today?
Ans 30.9396368 Thai baht 

4.What is the meaning of the word “Google”?
Ans  Google (Googol) เป็นศัพท์คณิตศาสตร์ เป็น "จำนวน" ที่มีเลข 1 ตามด้วยศูนย์ 100 ตัว

5.Find technical, non-commercial, papers about “search engine personalization”.
Ans  http://buzz.blogger.com/2012/03/customize-your-search-preferences.html

6.How much a 17’’ flat computer monitor cost?
Ans  $126 to $179



Exercises 5

1.Which search engine was named after a song from a Disney movie?
Ans  http://disney.go.com/search/

2.Why Arrack turns white when mixed with water?
Ans  This dilution causes the clear liquor to turn a translucent milky-white color; this is because anethole, the essential oil of anise, is soluble in alcohol but not in water.

3.How many employees Team company (Israel) has?
Ans  1202 คน อ้างอิงจาก http://www.bayer.co.th/webphp/company.php

4.Find other websites related to MindBranch.
Ans  www.mindbranch.com

5.Find statistics on how much time Americans spend, on average, searching for information on the Internet.
Ans  On average, Americans spend 14 hours per week searching for information.อ้างอิงจากhttp://www.foremostmedia.com/Services/SearchEngineMarketing/tabid/456/Default.aspx)

6.Find statistics on how long it takes for people searching for information to get frustrated when they don’t find what they want?
Ans  Americans spend 9,000,000 hours per day searching for misplaced item

Exercises 6

Find a website that displays the following real-time flight information
Ans  http://www.nasdaq.com/quotes/real-time.aspx



53040715  น.ส.ธารารัตน์  สรณานุภาพ
หลักสูตรเทคโนโลยีการจัดการ กลุ่ม 1 ปี 3






วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Assignment 10



Web application development คือ โปรแกรมประยุกต์สำหรับหน้าเว็บ ที่ใช้ผ่านอินเตอร์เน็ต ซึ่งไม่ต้องลงโปรแกรมในเครื่องและไม่ต้องคอยอัพเดทตลอดเวลา ซึ่งมีความสะดวกสบายมากเลยทีเดียว





จากภาพจะแสดงถึง กระบวนการในการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์สำหรับหน้าเว็บ
โดยจะมีขั้นตอนต่างๆดังนี้
Application Development: การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์
Monitoring Analysis & Control: การวิเคราะห์การตรวจสอบและควบคุม
Deployment & Training: การปรับใช้และการฝึกอบรม
Maintenance & Support: การบำรุงรักษาและการบริการ
Business Model Identification: ระบุรูปแบบธุรกิจ
Business Process Analysis: การวิเคราะห์กระบวนการทางธุรกิจ
Technical Proposal & Review: ข้อเสนอด้านเทคนิคและรีวิว     



พัฒนาโปรแกรมประยุกต์สำหรับหน้าเว็บ
          ข้อกำหนดสำหรับการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์สำหรับหน้าเว็บ
     
          1. เอกสาร Roadmap: การกำหนดเป้​าหมายวัตถุประสงค์และทิศทาง
            ขั้นตอนนี้จะกำหนดทิศทางที่ชัดเจนในโครงการของคุณและช่วยให้คุณสามารถมุ่งเน้นไปที่การตั้งค่าและ  
          บรรลุเป้าหมายของคุณ เอกสาร Roadmap จะระบุแผนในอนาคตและวัตถุประสงค์ที่มีระยะเวลาโดยประมาณ

         2. การวิจัยและการกำหนดขอบเขตผู้ชมและเอกสารการรักษาความปลอดภัย
            งานวิจัยนี้ต้องการให้ผู้ชม / ผู้ใช้และลูกค้าที่คาดหวัง (ถ้ามี), และการสร้างรายงานเชิงวิเคราะห์ซึ่งรวมถึงการประเมินตัวอย่าง
         ต่อไปนี้  
         ประเภทของผู้ชมเพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้งาน:
          - การสร้างรายงานสถิติในอัตราร้อยละของผู้ใช้: ประถมศึกษาเฉลี่ยสูงวัยผู้ชมและเพศ
         ประเภทและระดับของการเข้าถึง:
          การสร้างรายงานการเข้าถึงการระบุการเข้าถึงของผู้ใช้จากอินทราเน็ต, Internet, Extranet – ระดับเดียวหลายระดับ
         ประเภทของผู้ชมในการวางแผนรักษาความปลอดภัยระดับ:
          การสร้างเอกสารทางสถิติความเสี่ยงขึ้นอยู่กับลักษณะของผู้ใช้ ระดับการทุจริตของแอพลิเคชันของการละเมิดความ
            ปลอดภัยอุตสาหกรรมและประวัติของผู้ชมของการละเมิดความปลอดภัย
         สถิติเชิงปริมาณเกี่ยวกับผู้ชม:
           - การสร้างการเข้าใช้ศักยภาพแยกตามกรอบเวลาที่เหมาะสมเป็นระยะ ๆ

        3. การสร้างคุณสมบัติการทำงานหรือเอกสารสรุปลักษณะ
         Web Application ฟังก์ชันการทำงานเอกสารข้อมูลจำเพาะเป็นเอกสารสำคัญในทุกโครงการ เอกสารนี้จะแสดงรายการ
         ทั้งหมดของฟังก์ชันและข้อกำหนดทางเทคนิคที่โปรแกรมประยุกต์บนเว็บจะต้องทำให้สำเร็จ เอกสารฉบับนี้จะกลายเป็นที่
         ครอบงำหากมีการปฏิบัติตามกฎคุณสมบัติการทำงานและรายละเอียดออกประเภทของพฤติกรรมของผู้ใช้แต่ละโครงการมี
         ขนาดใหญ่มาก อย่างไรก็ตามมันมีค่าวางไว้ความพยายามที่จะสร้างเอกสารซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความสับสนในอนาคต
         หรือความเข้าใจผิดของโครงการและฟังก์ชันการทำงานนี้โดยทั้งเจ้าของโครงการและนักพัฒนา คุณสมบัติการทำงานโดย
         ทั่วไปจะแสดงพฤติกรรมของผู้ใช้ทุกตัวอย่างเช่น:เมื่อผู้ใช้คลิกที่ "Add to Cart" ปุ่มจากหน้าตู้โชว์สินค้ารายการจะถูกบันทึก
         อยู่ในตะกร้าสินค้าของผู้เข้าชมที่หน้าตู้โชว์สินค้าปิดและผู้ใช้จะถูกนำไปที่หน้ารถเข็นซึ่งแสดงให้เห็นรายการใหม่ใน สั่งซื้อ หาก
         การสร้างเอกสารข้อกำหนดการทำงานเป็นอย่างดีกับคุณผมขอแนะนำให้เริ่มออกโดยการสร้างเอกสารข้อกำหนดหรือเอกสาร
         สรุปลักษณะโดยทั้งการสร้างภาพหน้าจอตัวอย่างของหน้าจอโปรแกรมเว็บหรือการสร้างเอกสารที่มีรายการสรุป
         ของคุณสมบัติของโปรแกรม

        4.ผู้ขายวิเคราะห์การจำแนกประการที่สามและการคัดเลือก
          งานนี้ต้องใช้การวิจัยการระบุและการเลือกของผู้จำหน่ายของบุคคลที่สามผลิตภัณฑ์และบริการเช่น:บัญชีการค้าและการ
        ชำระเงิน – สำหรับข้อมูลรายละเอียด คำแนะนำเกี่ยวกับบัญชีผู้ค้าและ Gateways การชำระเงิน

       5. การเลือกใช้เทคโนโลยีโครงสร้างข้อมูลจำเพาะทางเทคนิคการใช้งานและระยะเวลา
         เอกสารนี้เป็นพิมพ์เขียวของเทคโนโลยีและการเลือกแพลตฟอร์มการพัฒนาสภาพแวดล้อมเว็บโครงสร้างการพัฒนา
       โปรแกรมและกรอบ เอกสารข้อมูลจำเพาะทางเทคนิคจะมีรายละเอียดออกเทคโนโลยีที่ใช้ใบอนุญาตรุ่นที่และการคาดการณ์ 
       เอกสารเส้นเวลาจะระบุวันที่เสร็จสิ้นสำหรับคุณสมบัติการใช้งานของเว็บหรือโมดูล

       6. แอพลิเคชันของ Visual คู่มือ เค้าโครงรับการออกแบบและการออกแบบ Interface
        หนึ่งในส่วนผสมหลักที่จะประสบความสำเร็จของโครงการคือการใส่โปรแกรมประยุกต์บนเว็บที่ใช้ติดต่อผู้ใช้ของอินเตอร์เฟซและ
       องค์ประกอบที่มีการบันทึกการพิสูจน์เพื่อความสะดวกในการใช้งานและให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุด

      7. การพัฒนาWeb Application
       อินเตอร์เฟซของโปรแกรมการออกแบบมีการเปิดให้ทีมพัฒนา Comentum ของผู้ที่ทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
      ในการพัฒนาโครงการ:
      สร้างสถาปัตยกรรมพลิเคชันเว็บและกรอบ
     ออกแบบโครงสร้างฐานข้อมูล

     8. การทดสอบเบต้าและ Bug Fixing
      การประกันคุณภาพของ Comentum แข็งแรงช่วยในการทดสอบการผลิตส่วนใหญ่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ใช้งานเว็บเวอร์ชัน 1.0 
     ของ Web Application จะถูกทดสอบอย่างละเอียดและข้อผิดพลาดใด ๆ ของโครงการที่จะใส่ที่อยู่และได้รับการแก้ไข








     PHP คืออะไร
     PHP  ย่อมาจาก '' Hypertext Preprocessor '' เป็นภาษา Server-Side Script อีกภาษาหนึ่งเช่นเดียวกันกับ ASP  
     ที่มีการทำงานที่เครื่องคอมพิวเตอร์ฝั่ง Server ซึ่งรูปแบบในการเขียนคำสั่งการทำงานนั้นจะมีลักษณะคล้าย
     กับภาษา Perl หรือภาษา C และสามารถใช้ร่วมงานกันกับ ภาษา HTML ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

     หมายเหตุ ในการสร้างเว็บจะใช้ Script อยู่ 2 รูปแบบคือ
     Server-Side Script เป็นลักษณะการทำงานบนเครื่อง Server และแปลออกมาเป็นภาษา HTML เช่น ASP, CGI
     Client-Side Script เป็นลักษณะการทำงานบนเครื่อง Client (เครื่องผู้ใช้)  เช่น JavaScript, VBScript


     คุณสมบัติ
            การแสดงผลของพีเอชพี จะปรากฏในลักษณะHTMLซึ่งจะไม่แสดงคำสั่งที่ผู้ใช้เขียน ซึ่งเป็นลักษณะเด่นที่พีเอชพี
     แตกต่างจากภาษาในลักษณะไคลเอนต์-ไซด์ สคริปต์ เช่น ภาษาจาวาสคริปต์ ที่ผู้ชมเว็บไซต์สามารถอ่าน 
     ดูและคัดลอกคำสั่งไปใช้เองได้ นอกจากนี้พีเอชพียังเป็นภาษาที่เรียนรู้และเริ่มต้นได้ไม่ยาก โดยมีเครื่องมือช่วยเหลือ
     และคู่มือที่สามารถหาอ่านได้ฟรีบนอินเทอร์เน็ต ความสามารถการประมวลผลหลักของพีเอชพี ได้แก่ การสร้างเนื้อหาอัตโนมัติ
     จัดการคำสั่ง การอ่านข้อมูลจากผู้ใช้และประมวลผล การอ่านข้อมูลจากดาต้าเบส ความสามารถจัดการกับคุกกี้ 
     ซึ่งทำงานเช่นเดียวกับโปรแกรมในลักษณะCGI คุณสมบัติอื่นเช่น การประมวลผลตามบรรทัดคำสั่ง (command line scripting) 
     ทำให้ผู้เขียนโปรแกรมสร้างสคริปต์พีเอชพี ทำงานผ่านพีเอชพี พาร์เซอร์ (PHP parser) โดยไม่ต้องผ่านเซิร์ฟเวอร์หรือเบราว์เซอร์ 
     ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับ Cron (ใน ยูนิกซ์หรือลีนุกซ์) หรือ Task Scheduler (ในวินโดวส์) สคริปต์เหล่านี้สามารถนำไปใช้ในแบบ
     Simple text processing tasks ได้
            การแสดงผลของพีเอชพี ถึงแม้ว่าจุดประสงค์หลักใช้ในการแสดงผล HTML แต่ยังสามารถสร้าง XHTML หรือ XML 
     ได้ นอกจากนี้สามารถทำงานร่วมกับคำสั่งเสริมต่างๆ ซึ่งสามารถแสดงผลข้อมูลหลัก PDF แฟลช (โดยใช้ libswf และ Ming) 
     พีเอชพีมีความสามารถอย่างมากในการทำงานเป็นประมวลผลข้อความ จาก POSIX Extended หรือ รูปแบบ Perl ทั่วไป 
     เพื่อแปลงเป็นเอกสาร XML ในการแปลงและเข้าสู่เอกสาร XML เรารองรับมาตราฐาน SAX และ DOM สามารถใช้รูปแบบ
     XSLT ของเราเพื่อแปลงเอกสาร XML

            เมื่อใช้พีเอชพีในการทำอีคอมเมิร์ซ สามารถทำงานร่วมกับโปรแกรมอื่น เช่น Cybercash payment, CyberMUT, 
     VeriSign Payflow Pro และ CCVS functions เพื่อใช้ในการสร้างโปรแกรมทำธุรกรรมทางการเงิน


     การรองรับ PHP
               คำสั่งของพีเอชพี สามารถสร้างผ่านทางโปรแกรมแก้ไขข้อความทั่วไป เช่น โน้ตแพด หรือ vi ซึ่งทำให้การทำงานพีเอชพี 
     สามารถทำงานได้ในระบบปฏิบัติการหลักเกือบทั้งหมด โดยเมื่อเขียนคำสั่งแล้วนำมาประมวลผล Apache, 
     Microsoft Internet Information Services (IIS) , Personal Web Server, Netscape และ iPlanet servers, 
    Oreilly Website Pro server, Caudium, Xitami, OmniHTTPd, และอื่นๆ อีกมากมาย. สำหรับส่วนหลักของ PHP 
    ยังมี Module ในการรองรับ CGI มาตรฐาน ซึ่ง PHP สามารถทำงานเป็นตัวประมวลผล CGI ด้วย และด้วย PHP, 
    คุณมีอิสรภาพในการเลือก ระบบปฏิบัติการ และ เว็บเซิร์ฟเวอร์ นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้สร้างโปรแกรมโครงสร้าง 
    สร้างโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP) หรือสร้างโปรแกรมที่รวมทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน แม้ว่าความสามารถของคำสั่ง OOP 
    มาตรฐานในเวอร์ชันนี้ยังไม่สมบูรณ์ แต่ตัวไลบรารีทั้งหลายของโปรแกรม และตัวโปรแกรมประยุกต์ (รวมถึง PEAR library) 
    ได้ถูกเขียนขึ้นโดยใช้รูปแบบการเขียนแบบ OOP เท่านั้น
           พีเอชพีสามารถทำงานร่วมกับฐานข้อมูลได้หลายชนิด ซึ่งฐานข้อมูลส่วนหนึ่งที่รองรับได้แก่ ออราเคิล dBase 
    PostgreSQL IBM DB2 MySQL Informix ODBC โครงสร้างของฐานข้อมูลแบบ DBX ซึ่งทำให้พีเอชพีใช้กับฐานข้อมูล
    อะไรก็ได้ที่รองรับรูปแบบนี้ และ PHP ยังรองรับ ODBC (Open Database Connection) ซึ่งเป็นมาตรฐานการเชื่อม
    ต่อฐานข้อมูลที่ใช้กันแพร่หลายอีกด้วย คุณสามารถเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลต่างๆ ที่รองรับมาตรฐานโลกนี้ได้
            พีเอชพียังสามารถรองรับการสื่อสารกับการบริการในโพรโทคอลต่างๆ เช่น LDAP IMAP SNMP NNTP POP3 HTTP COM 
    (บนวินโดวส์) และอื่นๆ อีกมากมาย คุณสามารถเปิด Socket บนเครื่อข่ายโดยตรง และ ตอบโต้โดยใช้ โพรโทคอลใดๆ 
    ก็ได้ PHP มีการรองรับสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบ WDDX Complex กับ Web Programming อื่นๆ ทั่วไปได้
    พูดถึงในส่วน Interconnection, พีเอชพีมีการรองรับสำหรับ Java objects ให้เปลี่ยนมันเป็น PHP Object แล้วใช้งาน 
    คุณยังสามารถใช้รูปแบบ CORBA เพื่อเข้าสู่ Remote Object ได้เช่นกัน





            ASP.NET (เดิมเรียกว่า ASP+) เป็นรุ่นต่อมาของ Active Server Page (ASP) ที่เป็นส่วนการทำงานของ Internet Information 
    Server (IIS) ทั้ง ASP และ ASP.NET ยอมให้ผู้สร้างเว็บในการสร้างเว็บเพจไดนามิคแบบ on the fly โดยการแทรกคิวรี่
    กับฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ในเว็บเพจ ASP.NET ต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้ 2 ด้านหลัก คือ การสนับสนุนคำสั่งที่เขียนด้วยภาษา
    คอมไพล์ เช่น Visual Basic, C++, C#, Perl เป็นต้น และส่วนการทำงานควบคุมแม่ข่ายที่สามารถแยกคำสั่งจากเนื้อหา 
    ยอมให้ WYSIWYG แก้ไขเพจ ถึงแม้ว่า ASP.NET ไม่สอดคล้องกับ ASP แต่สามารถเรียกใช้กับโปรแกรมประยุกต์ ASP 
    ได้ ไฟล์ ASP.NET สามารถรับรู้โดยส่วนขยาย .aspx

        การทำงานของ ASP.NET
           ASP.NET การสร้าง Web Service และการเรียกใช้งาน Web Service ด้วย ASP.NET แบบ Step by Step 
   หลายคนคงจะเข้าใจความหมายของคำว่า Web Service แต่ไม่รู้ว่ามันทำงานยังไง และจะเรียกใช้งานยังไง 
   ถ้าจะให้เข้าใจง่าย ๆ Web Service เปรียบเสมือนช่องทางสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลระว่าง Server ต่อ Server 
   หรือ Server ต่อ Client ซึ่งเว็บที่จะเปิดให้บริการ Web Service จะต้องทำช่องทางที่เว็บอื่น ๆ จะสามารถเข้ามาเรียก
   ใช้งานได้ ข้อมูลที่แลกเปลี่ยนกันอาจจะเป็นข้อมูลต่าง ๆ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย อาจจะเปิดช่องทางสำหรับ
   การอ่านค่าอัตราแลกเปลี่ยน โดยกำหนดให้ Client จะต้องส่งค่า Currency และ Date (เช่น USD , 30-Apr-2012) 
   ที่จะอ่านค่าอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเมื่อ Client เรียก Web Service จะต้องโยนค่า Argument ที่เป็น Currency และ Date 
   เข้าไปได้อีกด้วย





             Microsoft.NET Framework เป็นคอมโพเนนต์ของ Microsoft Windows ที่พร้อมใช้งานสำหรับผู้ใช้ Windows
    ผ่านสถานีแจกจ่ายต่าง ๆสถานีแจกจ่ายเหล่านี้รวมถึงการปรับปรุงเว็บไซต์ Microsoft และศูนย์ดาวน์โหลดของไมโครซอฟท์ 
    คอมโพเนนต์นี้ถูกติดตั้งในคอมพิวเตอร์บางเครื่อง

             Net Framework คือ โครงร่างการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้อำนวยความสะดวกในการพัฒนา
   โปรแกรมสมัยใหม่ ที่ใช้งานในระบบเครื่อข่าย (Internet, Intranet, Mobile Devices, ฯลฯ) Bill Gates และSteve Ballmer ได้บรรยาย
   สรุปวิสัยทัศน์ ที่เกี่ยวกับ .Net เอาไว้ 3 ข้อหลัก ๆ ได้แก่
   1. การพัฒนาโปรแกรมในรูปแบบของ Web Service จะเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนโปรแกรมต่าง ๆ ที่ใช้งานบน
       Internet. Web Service จะช่วยให้การติดต่อสื่อสารระหว่าง application บน Internet นั้นง่ายขึ้น และเป็นระบบมากยิ่งขึ้น
   2. Web Service ขั้นพื้นฐานเช่น การตรวจสอบ user ที่ log in เข้าสู่ระบบ จะถูกพัฒนาให้เป็นมาตรฐาน และสามารถนำไปใช้ได้ทั่วไป
       บน Internet
   3. PC (desktop, notebook) และ Mobile Device ที่ต่อเชื่อมกับ Internet ได้ เช่น PDA และ โทรศัพท์มือถือ 
       จะมีบทบาท และประโยชน์มากขึ้นไปอีก เมื่อสามารถติดต่อใช้งานโปรแกรมต่าง ๆ บน Internet ได้

           ยกตัวอย่างง่าย ๆ จากภาพยนตร์เรื่อง The 6th Day ตอนที่ พระเอก อาร์โนลด์ เอานิ้วโป้งประทับไปที่หน้าจอในรถแท๊กซี่ 
    Web Service ก็เกิดขึ้นในทันที เริ่มจาก ระบบตรวจสอบลายนิ้วมือซึ่งให้บริการตรวจสอบว่า ลายนิ้วมือของผู้โดยสารนั้น
    เป็นใคร (User-Authentication Web Service) พอทราบแล้วว่าเป็นใคร ระบบก็จะส่งข้อมูลไปยังบริษัทที่ให้บริการรถแท๊กซี่ 
   ซึ่งจะทำการคิดคำนวนค่าบริการ และส่ง request ไปยังธนาคารที่ผู้โดยสารมีบัญชีอยู่ เพื่อทำการหักค่าใช้จ่ายจากบัญชี
   ของผู้โดยสาร ไปเข้าบัญชีของบริษัทรถแท๊กซี่ ส่วนที่พนักงานขับรถจะได้จากการบริการ ก็จะถูกบันทึกไว้ในระบบข้อมูล
   พนักงานคนนั้น ๆ จะเห็นได้ว่าจากสถาการณ์ที่ได้ยกตัวอย่างไปนี้ จำเป็นที่จะต้องใช้ข้อมูล และการประมวลผลจากเครื่อง
   คอมพิวเตอร์ และโปรแกรมต่าง ๆ อยู่หลายที่ ซึ่งแต่ละโปรแกรมนั้นก็อาจจะทำงานอยู่บนระบบที่แตกต่างกันไปเช่น Windows, 
   Linux, Mainframe, ฯลฯ ภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้พัฒนาโปรแกรมเหล่านั้น ก็อาจจะแตกต่างกันออกไป ระบบฐานข้อมูลก็
   ไม่เหมือนกัน การที่จะทำให้ระบบหลาย ๆ ระบบทำงานต่อเชื่อมกันได้อย่างราบรื่นนั้น ไม่ง่ายเลย
         
          Microsoft จึงได้พัฒนารูปแบบการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ขึ้นมา ซึ่งเรียกว่า .Net Framework นั่นเอง (อันที่จริงแล้ว Microsoft
   ไม่ได้เป็นผู้คิดค้นเรื่องพวกนี้ขึ้นมาแต่เพียงผู้เดียว อย่าเข้าใจผิด สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มีผู้คิดค้นพัฒนาจากหลายบริษัท หลายหน่วยงาน
    ยกตัวอย่างเช่น Sun Microsystems, IBM, ฯลฯ หากแต่ว่า Microsoft นำแนวคิดเหล่านั้นมาออกแบบให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถต่อเชื่อม
    กันได้ง่ายขึ้น เป็นระบบมากขึ้น) เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้นิยามคำว่า .Net คงไม่สามารถชี้เฉพาะได้ว่า .Net คืออะไร เพราะจริง ๆ แล้ว .Net
    ประกอบไปด้วยส่วนประกอบต่าง ๆ หลายส่วนด้วยกัน ส่วนประกอบเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ทำงานได้เข้าขากันได้ดีขึ้น






          ColdFusion ผลิตภัณฑ์จาก Macromedia ได้รับความนิยมและทันสมัยในขุดของผลิตภัณฑ์สำหรับการสร้าง
    เว็บไซต์และเพจใช้ งานกับผู้ใช้ ด้วย ColdFusion บริษัทสามารถสร้างฐานข้อมูลเนื้อหาที่ใช้ต้นแบบนำเข้าและรวมสิ่งเหล่านี้ 
    เข้าด้วยกันด้วยโปรแกรมประยุกต์เพื่อสร้างเว็บไซต์ซึ่งเว็บเพจได้รับการ พัฒนาแบบไดนามิคส์ ColdFusion ประกอบด้วย 
    ColdFusion Studio ที่ใช้ในการสร้างไซต์ และ ColdFusion Server ที่ห้บริการเพจกับผู้ใช้ ColdFusion Studio 
    ได้รับการอธิบายเป็น “integrated development environment (IDE) สมบูรณ์” และ ColdFusion Server เป็น “แพล็ตฟอร์มจัดวาง”

          ส่วนการทำงานที่มีค่ามากที่สุดสำหรับหลายบริษัทคือ ColdFusion สามารถสร้างเว็บไซต์เป็น ชิ้นส่วนที่สามารถเก็บ
     ในฐานข้อมูล แล้วประกอบกลับมาเป็นเว็บเพจ จดหมายข่าว และการใช้อื่นๆ ColdFusion ให้การอินเตอร์เฟซสำหรับการ
     สร้างเว็บเพจโดยตรง หรือสำหรับสร้าง ชิ้นส่วนตัวอย่างจดหมายข่าวกับเว็บเพจสามารถให้ผู้รายงานป้อนเรื่อง 
    ส่วนหัวของข่าว ผู้เขียน และสารสนเทศอื่น ด้วยการฟอร์มป้อนข้อความฟรีของรูปแบบเว็บเพจและรายละเอียดโคร
    สร้างหรือภาษา tag (จดหมายข่าวใช้ ColdFusion ในการออกแบบฟอร์มและกำหนดฐานข้อมูล) การป้อนเนื้อหาโดยผู้ราย
    งานได้รับการรวบรวมและจัดรูปแบบต่อมาไปยังเว็บเพจเมื่อได้รับการขอ ผู้รายงานเป็นอิสระจากความเข้าใจ HTML และรายละเอียดอื่น

           ColdFusion มีเพจภาษา markup ของตัวเอง เรียกว่า ColdFusion Markup Language (CFML) โดย CFML รวม Hypertext Markup Language (HTML) และ Extensible Markup Language (XML) คอมไพลเลอร์ just-in-time (JIT) เปลี่ยน CFML เป็นที่ให้บริการ Microsoft ให้ความสำคัญชุดผลิตภัณฑ์เป็นแบบเปิดและ “ขยายได้” โปรแกรมประยุกต์สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลด้วยการใช้ OLE DB ของ Microsoft, Open Database Connectivity (ODBC) หรือไดรฟเวอร์ที่เข้าถึงฐานข้อมูล Oracle และ Sybase นอกจากนี้ ColdFusion สามารถประสานกับโปรแกรมประยุกต์ที่ใช้ Common Object Request Broker Architecture (CORBA) หรือ Distributed Component Object Model (DCOM) ของ Microsoft เพื่อปฏิสัมพันธ์กับโปรแกรมประยุกต์เครือข่ายอื่น







               DotNetNuke สร้างขึ้นภายใต้มาตรฐาน Microsoft ASP.NET (VB.NET) เป็น Web Application Framework สำหรับการสร้างเว็บไซต์ เช่น เว็บสำหรับธุรกิจ เว็บเพื่อการประชาสัมพันธ์ หรือสร้างเว็บ Portal ต่างๆ หรือจะใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนา Application อื่นๆ ได้อีก และยังสนับสนุนการสร้างเว็บไซต์ย่อยๆ ภายใต้ระบบเพียงหนึ่งเดียว มีการจัดแบ่งระบบ Admin ทั้ง Host และ Site ต่างๆ ซึ่ง Host Admin สามารถบริหารจัดการเว็บไซต์ย่อยๆ ที่สร้างขึ้นได้ทุกเว็บไซต์ด้วย DotNetNuke เองได้รับการออกแบบให้ง่ายต่อการจัดการและ การใช้งานที่แสนสะดวกสบาย ได้มีการสร้างเครื่องมือต่างๆ ไว้รองรับการบริหารจัดการ เช่น Site hosting, design, content, security, และ membership DotNetNuke สามารถใช้งานได้ฟรี , เนื่องจากเป็น open-source software, และมีลิขสิทธิ์ภายใต้มาตรฐาน BSD. คุณสามารถทำอะไรกับ Application ที่คุณ Download ไปได้ และใช้ได้ทั้งกับเว็บที่เป็นธุรกิจ และที่ไม่ใช่ธุรกิจ


จุดเด่นของ DotNetNuke สำหรับผู้บริหารระบบ
             ทางด้าน Application นั้น DotNetNuke ได้เตรียมเครื่องเพื่ออำนวยความสะดวกในการบริหารจัดการเว็บไซต์ไว้มากมาย เช่น 
-ติดตั้งง่ายด้วยระบบ Installation Wizard
-การบริหารจัดการผู้ใช้ และสิทธิการเข้าถึงข้อมูลที่แตกต่างกัน
-Site Log เพื่อดูรายงานสถิติการเยี่ยมชมเว็บไซต์
-การบริหารจัดการหน้าเว็บไซต์ต่างๆ อย่างง่ายดาย
-มี Module รองรับการใช้งานต่างๆ เช่น Forum, Gallery, Document Download, RSS Feed, Feedback, etc.
 ทางด้าน Framework สนับสนุนการเพิ่มเติม หรือต่อยอดระบบงานต่างๆ เช่น Skin & Container รองรับการปรับเปลี่ยน Look & Feel     

 ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่กระทบกับเนื้้อหาเดิมที่อยู่ในเว็บไซต์
-Authentication Provider รองรับการใช้งาน Authentication จากหลายแหล่งเช่น Active Directory, Windows Live ID 
-Module รองรับการติดตั้ง Module เพิ่มเติมได้ตลอดเวลา

จุดเด่นของ DotNetNuke สำหรับ Developer
-DotNetNuke ได้จัดเตรียม Library ต่างๆ ไว้ให้ผู้พัฒนา สามารถพัฒนา Web Application ได้อย่างสะดวกสบาย และง่ายดายเช่น
-เพรียบพร้อมด้วย Library เกี่ยวกับการจัดการสิทธิผู้ใช้ไว้ใช้งานโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาเพิ่มเติม
-รวบรวมความสามารถในการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับ Security, Logging, Caching, Performance, Database ไว้ให้ผู้พัฒนาเรียกใช้งาน
 ได้อย่างง่ายดาย
-สนับสนุนการทำ Package Deployment และการทำ Package Versioning ที่สนับสนุนการ Upgrade version ได้อย่างสะดวกสบาย
-มี Starter Kit สำหรับผู้เริ่มต้นการพัฒนา Module ด้วย DotNetNuke

สถาปัตยกรรม
DotNetNuke ใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมสามชั้นที่มีกรอบหลักที่ให้การสนับสนุนการขยายโครงสร้างของโมดูล เมื่อนำไปใช้งานซึ่งสามารถขยายการใช้ปลั๊กชนิดโมดูลและผู้ให้บริการที่ช่วยให้การทำงานเพิ่มเติม; รูปลักษณ์และความรู้สึกของแต่ละไซต์สามารถกำหนดเองได้โดยใช้สกิน แผนภาพต่อไปนี้แสดงให้เห็นถึงซอฟต์แวร์ชั้นของการใช้งาน DotNetNuke ทั่วไป


ปัจจุบันรุ่น 5.x ของ DotNetNuke ต้อง IIS 6 และ ASP.NET v2.0 เพื่อ v3.5 และสนับสนุน SQL Server 2005 และ 2008 . รุ่นก่อนหน้าของ DotNetNuke ได้รับการสนับสนุน SQL Server 2000 และ ASP.NET v1.1






           
              Asynchronous JavaScript และ XML (AJAX) เป็นเทคนิคการเขียนโปรแกรมที่เกิดขึ้นใหม่ในการสร้างและการสร้างโปรแกรมประยุกต์บนเว็บ การติดต่อสื่อสารที่ดีขึ้นของการเชื่อมต่อ AJAX ขับเคลื่อนเติมช่องว่างแบบดั้งเดิมระหว่างโปรแกรม Desktop และ Web ด้วยการดำเนินการของเทคโนโลยี AJAX ในการพัฒนาโปรแกรมบนเว็บที่กำหนดเองการปรับปรุงอย่างมากสามารถมองเห็นได้ในการไปถึงความเร็วในการโต้ตอบและการใช้งาน AJAX เป็นประโยชน์ที่ชัดเจนสำหรับการประยุกต์ใช้เว็บใด ๆ ตั้งแต่เว็บไซต์ที่ง่ายในการโปรแกรมประยุกต์ทางธุรกิจที่ซับซ้อนที่สุดและมีความซับซ้อน

AJAX + SOA: คุ้มค่าที่เพิ่มเข้ามาสำหรับการใช้งานขององค์กร

            อินเตอร์เฟซบนเว็บที่อุดมไปด้วยจะช่วยให้ค่ามากขึ้นในการใช้งานขององค์กรในอนาคตการออกแบบบนความก้าวหน้า SOA (Services Oriented Architecture) AJAX เป็นเทคโนโลยีการติดต่อขั้นสูงที่ให้บริการขยายฟังก์ชันการทำงานบนเดสก์ทอปภาพและการติดต่อสื่อสาร AJAX เพิ่มมูลค่ามากขึ้นในการบริการที่ดีกว่าการออกแบบเชิงโต้ตอบกับผู้ใช้ที่มีทั้งในระดับท้องถิ่น (อินทราเน็ต) และระยะไกล (อินเทอร์เน็ตเอ็กซ์ทราเน็ต) ใช้งานขององค์กร โดยการเพิ่ม
แอพลิเคชันริชอินเทอร์เน็ต (RIA) ไปยังองค์กรที่มีอยู่ในโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีมีข้อดีหลายอย่างที่รวมถึงการควบคุมที่ดีกว่าการไหลเวียนของเอกสารประหยัดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานและการรักษาความปลอดภัยที่ดีขึ้น


การพัฒนา AJAX
          AJAX การพัฒนาจะช่วยให้โปรแกรมเมอร์ดาวน์โหลดข้อมูลโดยใช้วัตถุ XMLHttpRequest หรือผ่านการใช้งานจากระยะไกลในการเขียนสคริปต์เบราว์เซอร์ที่ไม่สนับสนุนในพื้นหลังขณะที่หน้าเว็บจะถูกเข้าถึงได้ ซึ่งหมายความว่าหน้าไม่ต้องไปกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์และเฉพาะส่วนที่จำเป็นถูกดาวน์โหลดคัดเลือกจากการประหยัดเวลาของเซิร์ฟเวอร์และแบนด์วิดธ์

การพัฒนาอย่างรวดเร็วและระยะเวลาการเพิ่มประสิทธิภาพ
         Anuva ให้เป็นมืออาชีพเต็มรูปแบบวงจรที่ให้บริการพัฒนาซอฟต์แวร์จากการวิเคราะห์ทางธุรกิจเพื่อแก้ปัญหาการดำเนินงานและการสนับสนุน เราใช้เครื่องมือในการพัฒนาที่ครบวงจรและวิธีการพัฒนาเปรียวที่ช่วยให้เราเพื่อเพิ่มความเร็วในการพัฒนาและการตัดวงจรtime-to-market ด้วยสถาปัตยกรรมที่เหมาะสมและวิธีการแบบแยกส่วนเรามั่นใจการบำรุงรักษาโปรแกรมประยุกต์ใช้งานง่ายและบูรณาการที่ง่ายดายของการทำงานใหม่หรือชิ้นส่วนของบุคคลที่ 3 มิติ

กรอบ AJAX และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
        ผู้เชี่ยวชาญ Anuva ใช้กรอบ AJAX แตกต่างกันที่เรามุ่งเน้นในด้านที่ไม่ซ้ำกันของโปรแกรมประยุกต์โดยการทำให้เพรียวลมงานเส้นทาง การใช้กรอบที่แตกต่างกันนี้นักพัฒนาเพิ่มผลผลิตและเพิ่มความเร็วรอบการพัฒนา
     • Prototype.js
     • AJAX RAD
     • UI ของ Yahoo
     • Cpaint
     • Rico
     • ASP.NET AJAX (อดีต ATLAS)
     • jQuery
     • ExtJS


เรามีประสบการณ์ที่แข็งแกร่งกับหลายเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AJAX ที่รวมถึง

     • XHTML และ CSS
     • XForms
     • รุ่นของวัตถุเอกสาร
     • XML / XSLT / XPath
     • JavaScript


ตามมาตรฐาน
          เราสนับสนุนมาตรฐานอุตสาหกรรมชั้นนำและเทคโนโลยีเบราว์เซอร์ขณะที่การพัฒนาส่วนติดต่อผู้ใช้บนเว็บเบราว์เซอร์ที่สนับสนุน
        Cross: Internet Explorer 6 +, Mozilla FireFox 1.0 +, Opera 9 +, Safari 2 + และอื่น ๆ
        อินเทอร์เน็ต: มาตรา 508 และเข้ากันได้มาตรฐาน W3C WCAG
        ความเข้ากันได้: ตามมาตรฐานของ W3C ที่มีมาตรฐาน: XHTML 1.0 หรือ HTML 4.01, CSS 2.1.







                Web 2.0 มีความเชื่อมโยงกับโปรแกรมประยุกต์บนเว็บ ซึ่งมีลักษณะส่งเสริมให้เกิดการแบ่งปันข้อมูล การพัฒนาในด้านแนวความคิดการออกแบบที่เน้นผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลางuser-centered design และ การร่วมสร้างข้อมูลในโลกของอินเทอร์เน็ต เว็บไซต์ที่ออกแบบโดยใช้หลักการของเว็บ 2.0 ทำให้กลุ่มผู้ใช้งานสามารถปฏิสัมพันธ์และร่วมมือกันในลักษณะของสื่อสังคมออนไลน์ โดยกลุ่มผู้ใช้งานเป็นผู้สร้างเนื้อหาขึ้นเอง ต่างจาก เว็บ 1.0 ที่กลุ่มผู้ใช้ถูกจำกัดบทบาทโดยทำได้แค่เพียงการเยี่ยมชม หรือดูเนื้อหาที่ผู้ใช้สนใจ สำหรับตัวอย่างของเว็บ 2.0 ได้แก่บล็อก เครือข่ายสังคมออนไลน์ สารานุกรมเสรี วิดีโอแชริง โปรแกรมประยุกต์บนเว็บ แมชอัพส์ และ โฟล์คโซโนมี

ลักษณะ และเทคโนโลยีที่แสดงถึงเว็บ 2.0
เว็บ 2.0 ส่วนใหญ่ จะมีลักษณะและคุณสมบัติ ส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดดังนี้ 
-  Search หาข้อมูลจากคีย์เวิร์ด
-  Links โยงข้อมูลไปยังเว็บไซต์อื่น
- Authoring สามารถสร้างหรือแก้ไขข้อมูลร่วมกันได้ ในวิกิผู้ใช้สามารถ เพิ่ม แก้ไข หรือลบข้อมูล
  ในบล็อก ผู้ใช้สามารถโพสต์คอมเมนต์ได้
- Tags จัดหมวดหมู่ให้กับข้อมูลโดยใช้แท็ก - คำสั้นๆ ใช้อธิบายว่าข้อมูลนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร
- Extension ส่วนเสริมสำหรับเว็บแอปพลิเคชัน รวมถึงซอฟต์แวร์จำพวก อะโดบี รีดดอร์ แฟลช ไมโครซอฟท์ ซิลเวอร์ไลต์ แอ็กทีฟเอ็กซ์ 

  จาวา ควิตไทม์ และอื่นๆ
- Signals เทคโนโลยีที่แจ้งเตือนผู้ใช้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหา เช่น RSS Atom เป็นต้น

การพัฒนา Web 2.0
            องค์กรในวันนี้ต้องการข้อมูลที่มีอยู่ผ่านทางเว็บเบราเซอร์ของตนเพื่อให้ข้อมูลและฟังก์ชั่นสามารถเข้าถึงได้ง่ายเพื่อความหลากหลายของผู้ใช้ นอกจากนี้ยังช่วยลดเวลาในการพัฒนาและการฝึกอบรม สำหรับนักพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนเว็บ 2.0 การพัฒนาให้เกิดประโยชน์มากมายรวมทั้งการสนับสนุนหลายแพลตฟอร์มและมาตรฐานความเป็นอิสระของระบบปฏิบัติการและความเรียบง่ายของการใช้งาน แนวโน้ม Web 2.0 ผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการทางได้มีการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์แบบดั้งเดิมเช่นเดียวกับการพัฒนาอินเทอร์เน็ตในเชิงพาณิชย์และสังคม




           นักพัฒนาที่ชื่นชอบใน LAMP (Linux , Apache , MySQL and PHP or Python) Technology Stacks ซึ่งได้นำ LAMP มาใช้ในการพัฒนา Application Software
           การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนเว็บโดยใช้ lamp เป็นตัวเลือกที่ต้องการสำหรับนักพัฒนาสำหรับการสร้างโปรแกรมประยุกต์ที่มีเสถียรภาพและเชื่อถือได้และมีประสิทธิภาพสูง มันเป็นแพลตฟอร์มการพัฒนาที่กำหนดประสิทธิภาพของแอพลิเคชัน ทางเลือกของแพลตฟอร์มที่ผิดหมายถึงการประยุกต์ใช้ผลจะไม่ตรงกับข้อกำหนดของลูกค้าในทั้งหมดของพวกเขา ธุรกิจวันนี้ไม่ได้มองหาเพียงแค่โปรแกรมใด ๆ พวกเขาต้องการโปรแกรมที่สามารถปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจของพวกเขาและรวดเร็วติดตามการเติบโตของธุรกิจของพวกเขา นี้จะเกิดขึ้นก็ต้องใช้ที่สามารถรวมได้ง่ายในโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีของพวกเขาที่มีอยู่และเป็นหนึ่งที่สามารถเชื่อถือในการส่งมอบประสิทธิภาพการทำงานสูง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโปรแกรมเว็บที่ดีที่สุดนักพัฒนาได้เริ่มต้นขึ้นโดยใช้ lamp ซึ่ง lampเป็นซอฟแวร์ชุดหรือสแต็คที่ย่อมาจาก Linux, Apache, MySQL และ PHP, Perl หรือ Python มันน่าสนใจที่จะทราบว่าพวกเขาได้รับการพัฒนาเป็นรายบุคคลและที่จุดใดในระหว่างการพัฒนาซอฟแวร์ไม่คิดว่านักพัฒนาเกี่ยวกับการสร้างพวกเขาสำหรับการใช้งานรวมกัน แต่ก็พบว่าที่ถ่ายด้วยกันพวกเขามีกองเหนือชั้นของโซลูชั่นเทคโนโลยีการขับเคลื่อนที่รองรับแอพพลิเคชันเซิร์ฟเวอร์ นักพัฒนาในการใช้สแต็คที่รักเทคโนโลยีนี้เป็นโอเพนซอร์สซึ่งหมายความว่ามันสามารถนำมาปรับเพื่อให้เหมาะกับความต้องการที่กำหนดได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว

         Lamp เป็นเหตุผลที่เป็นที่นิยม คิดว่าสถานการณ์ขัดแย้งทางธุรกิจของคุณไม่สามารถจัดการข้อมูลขององค์กรของตน คุณต้องการที่จะแก้ปัญหาการไหลของข้อมูลที่ครอบคลุมเกิดขึ้นทั่วทั้งองค์กรของคุณและคุณต้องการแก้ปัญหานี้ในเวลารวดเร็วสองครั้ง ในกรณีเช่นนี้ที่ธุรกิจหรือองค์กรไม่สามารถอุทิศเวลามากในการแก้ปัญหา lamp เป็นแพลตฟอร์มที่ต้องการสำหรับการพัฒนา ทั้งนี้เป็นเพราะนักพัฒนาสามารถสร้างโปรแกรมประยุกต์ได้อย่างรวดเร็วและให้ความเชื่อถือและความมั่นคงของ เป็นจริงสถานการณ์ win-win ทั้งคุณและนักพัฒนา ทั้งสองฝ่ายประหยัดเวลาและกระบวนการในการพัฒนาที่ดีที่กำหนดให้โปรแกรมที่มีประสิทธิภาพสูง

ส่วนประกอบของ Lamp
o    Linux - นี่คือที่มาเปิดระบบปฏิบัติการและเพื่อให้แน่ใจว่าส่วนประกอบอื่น ๆ ของ lamp ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในคุณสมบัติที่ใหญ่ที่สุดของมันคือมันมีการทำงานร่วมกันข้ามแพลตฟอร์ม 
o    Apache - นี่คือเว็บเซิร์ฟเวอร์และช่วยให้โปรแกรมประยุกต์บนเว็บของคุณถึงผู้ใช้ เสถียรภาพของแอพลิเคชันเป็นส่วนใหญ่ผลมาจากเซิร์ฟเวอร์ Apache มันสามารถเรียกว่าเซิร์ฟเวอร์ของทางเลือกสำหรับนักพัฒนาเว็บส่วนใหญ่เป็นที่คาดกันว่ากว่า 65% ของเว็บไซต์ทั้งหมดบนอินเทอร์เน็ตใช้เซิร์ฟเวอร์ Apache ของมัน การใช้ PHP และ Apache จะช่วยให้หน้าเว็บแบบไดนามิกที่สร้างผลลัพธ์ที่อยู่ในโปรแกรมโต้ตอบสูง
o    MySQL - แอพลิเคชันของคุณต้องเก็บข้อมูลและในการนี้ระบบ MySQL การจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์เป็นทางเลือกที่สมบูรณ์ มันเป็นระบบที่มีความสามารถสูงมักจะใช้สำหรับการเรียกใช้เว็บไซต์ระดับองค์กรที่มีองศาที่แตกต่างจากความซับซ้อนของฐานข้อมูล ดังนั้นความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลทุกชนิดของโปรแกรมเว็บของคุณเป็นสองรองใคร ที่สำคัญข้อมูลทั้งหมดจะอยู่ในฐานข้อมูล MySQL ในรูปแบบที่สามารถสอบถามได้อย่างง่ายดายด้วยภาษา SQL 
o    PHP - คิดว่า PHP เป็นกาวที่ยึดกันทุกชิ้นส่วนอื่น ๆ ของระบบ lamp มันเป็นภาษาที่ช่วยให้เขียนทุกเนื้อหาแบบไดนามิกที่สามารถเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดที่จัดเก็บในฐานข้อมูล MySQL

ประโยชน์ของ Lamp
o    ง่ายต่อการใช้รหัส สอบถามนักพัฒนาและพวกเขาจะบอกคุณว่าการเข้ารหัสเป็นลมบนโคมไฟ สิ่งนี้คือไม่สามารถที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าการเขียนโปรแกรมที่ค่อนข้างผิดพลาดฟรีและไม่ต้องไปผ่านกระบวนการที่ใช้หมดจดและเวลาในการแก้ไขข้อบกพร่อง
o    การใช้งานที่ง่ายสำหรับนักพัฒนาจำนวนมากก็ใช้งานของโปรแกรมประยุกต์บนเว็บที่จะกลายเป็นที่ออกกำลังกายหากิน; โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการเขียนโปรแกรมภาษาไม่สามารถรวมได้อย่างง่ายดายกับเซิร์ฟเวอร์และฐานข้อมูล แต่ไม่มีปัญหาดังกล่าวด้วยโคมไฟเป็น PHP เป็นโมดูล Apache มาตรฐาน ซึ่งทำให้ง่ายต่อการใช้งานโปรแกรมประยุกต์บนเว็บโคมไฟ 
o    การพัฒนาท้องถิ่น - อีกประโยชน์มากจากการใช้หลอดไฟเป็นว่านักพัฒนาสามารถสร้างแอพพลิทั้งในประเทศและจากนั้นติดตั้งไว้บนเว็บ

            แน่นอน LAMP เป็นที่นิยม แต่นักพัฒนาไม่ได้ทั้งหมดจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน คุณต้องสามารถที่จะเลือกชนิดของการพัฒนาที่เป็นทั้งผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์เกี่ยวกับการใช้ lamp ทีมงานของนักพัฒนาที่มีความเชี่ยวชาญอย่างสูงที่ PLAVEB สามารถใช้lampในลักษณะดังกล่าวว่าการใช้ของมันจะเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานของลูกค้าได้รับประโยชน์ ของเรา บนเว็บแอพลิเคชันการพัฒนา ทีมงานได้ทำงานประสบความสำเร็จในการใช้งานเว็บที่มีความหลากหลายที่ได้รับการพัฒนาด้วยความช่วยเหลือของชุดซอฟต์แวร์นี้โดยเฉพาะ นี้ช่วยให้เราให้ความสำคัญกับทุกชนิดของความต้องการของลูกค้าและให้แน่ใจว่าการใช้งานเว็บของเราตรงตามมาตรฐานสูงสุดทั้งในด้านประสิทธิภาพคุณภาพการทำงานและทุกรอบ 




           ภาษาจาวา (Java Language) คือภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาหนึ่งที่มีหลักการเขียนแบบเชิงวัตถุ ถูกใช้เพื่อสร้างโปรแกรมให้ทำงานในระบบคอมพิวเตอร์รูปแบบต่างๆโดยผู้เขียนโปรแกรม โดยภาษาจาวาจะถูกนำไปสร้างโปรแกรมตามหลักการและไวยกรณ์ของการเขียน จะได้ไฟล์นามสกุล .java เช่น HelloWorld.java โดยใช้ tool อย่างง่ายๆ เช่น editplus,notepad จากนั้นจึงนำไปคอมไพล์โดยใช้ Java Compiler ให้เป็นไบต์โค้ด(ฺBytecodes) ซึ่งจะมีนามสกุลเป็น .class จะได้ HelloWorld.class แล้วนำโปรแกรมหรือไฟล์ .class นั้นมาทำงานด้วยเครื่องจักรเสมือน (Java Virtual Machine) เรียกสั้นๆว่า "JVM" ที่จำลองขึ้นโดย Java Interpreter หลายท่านอ่านมาถึงตรงนี้อาจจะงง เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังต่อ
จาวาสคริปต์ (JavaScript) เป็นสคริปต์คำสั่งที่วางไว้ร่วมกับภาษา HTML โดยจาวาสคริปต์ทำงานผ่านบราวเซอร์ที่เข้าใจคำสั่งจาวาสริปต์ เหมาะสำหรับการสร้างส่วนใช้งาน เพื่อติดต่อกับผู้ใช้ในแบบอินเทอร์เร็คทีฟ คือตอบสนองตามพฤติกรรมการใช้งาน เช่น ใช้สร้างเมนูแบบ Popup เป็นต้น
         ดังนั้นภาษาจาวา กับจาวาสคริปต์จึงเป็นคนละรูปแบบ และมีวัตถุประสงค์ที่ต่างกัน หากแต่การเขียนคล้ายกัน

J2EE คืออะไร
        J2EE (Java 2 Platform, Enterprise Edition) เป็นแพล็ตฟอร์ม Java ที่ออกแบบสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ระดับ เมนเฟรมของวิสาหกิจขนาดใหญ่ Sun Microsystems (พร้อมกับหุ้นส่วนอุตสาหกรรม เช่น IBM) ออกแบบ J2EE ให้การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ง่ายในสภาพแวดล้อม thin client แบบ tier การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ทำได้ง่ายขึ้นโดย J2EE และลดความต้องการเขียนโปรแกรมและการฝึกอบรมผู้เขียนโปรแกรมโดยการสร้างมาตรฐาน ส่วนประกอบแบบโมดูลที่ใช้ใหม่ได้ และทำให้ “tier” ควบคุมหลายโปรแกรมอย่างอัตโนมัติ

J2EE ได้รวมส่วนประกอบจำนวนมากของแพล็ตฟอร์ม Java 2, Standard Edition (J2SE)
              - Java Development Kit (JDK) ได้รวมแพ็คเกจภาษาหลัก
              - เทคโนโลยี Write Once Run Anywhere ได้รับการรวมเพื่อทำให้มั่นใจถึงความสามารถพกพาได้
              - สนับสนุน Common Object Request Broker Architecture (CORBA) รุ่นก่อนของ Enterprise JavaBeans (EJB) ดังนั้น
                อ๊อบเจค Java สามารถสื่อสารกับอ๊อบเจค CORBA ทั้งในท้องถิ่นและบนเครือข่ายผ่าน interface broker
              - Java Database Connectivity 2.0 (JDBC) เทียบได้กับ Open Database Connectivity (ODBC) ได้รับการรวมเป็นการ
                อินเตอร์มาตรฐานกับฐานข้อมูลของ JavaJ2EE รวมส่วนประกอบจำนวนหนึ่งเพิ่มให้แบบจำลอง J2SE เช่น
              - สนับสนุนเต็มสำหรับ Enterprise JavaBeans โดย EJB เป็นเทคโนโลยีแม่ข่ายสำหรับการส่งมอบส่วนประกอบโปรแกรมใน
                สภาพแวดล้อม enterprise สนับสนุน Extensible Markup Language (XML) และได้ปรับปรุงจัดกระบวนและส่วนการทำงานความปลอดภัย
              - ปรับปรุง Java servlet API (application programming interface) ให้สอดคล้องสำหรับผู้พัฒนาโดยปราศจากความต้องการ 
                graphical user interface (GUI)
              - Java Server Pages (JSP) เทียบได้กับ Active Server Pages (ASP) ของ Microsoft และได้รับการสำหรับเว็บไดนามิคส์ ที่
                ให้เข้าถึงและควบคุมข้อมูล
สถาปัตยกรรม J2EE ประกอบด้วย 4 หน่วยหลัก
              - J2EE Application Programming Model เป็นแบบจำลองโปรแกรมมาตรฐานที่ใช้อำนวยความสะดวกในการพัฒนาโปรแกรม
                ประยุกต์ multi-tier, thin client
              - J2EE Platform รวม policy และ API จำเป็น เช่น Java servlets และ Java Message Service (JMS).
              - J2EE Compatibility Test Suite ทำให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ J2EE สอดคล้องกับมาตรฐานแพล็ตฟอร์ม
              - J2EE Reference Implementation อธิบายขีดความสามารถของ J2EE และให้ข้อกำหนดการปฏิบัติการ

J2ME คืออะไร 
               J2ME (Java 2 Platform, Micro Edition) เป็นเทคโนโลยีที่ยอมให้ผู้เขียนโปรแกรมใช้ภาษา Java และเครื่องที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาโปรแกรมสำหรับอุปกรณ์สารสนเทศไร้สายเคลื่อนที่ เช่น โทรศัพท์เซลลูลาร์ และ personal digital assistant (PDA) โดย J2ME ประกอบด้วยข้อกำหนดโปรแกรมและเครื่องสเมือนเฉพาะ หรือ K Virtual Machine ที่ยอมให้โปรแกม J2ME เข้ารหัสในการเรียกใช้บนอุปกรณ์เคลื่อนที่

              มี 2 ข้อกำหนด คือ Connected, Limited Device Configuration (CLDC) และ Mobile Information Device Profile (MIDP) โดย CLDC เป็นผังของ application program interface (API) และส่วนการทำงานเครื่องเสมือนที่จำเป็นต่อการสนับสนุนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ส่วน MIDP เพิ่มรายละเอียดให้ CLDC ในด้านการอินเตอร์เฟซ เครือข่าย และ messaging ที่จำเป็นต่อการอินเตอร์เฟซกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ MIDP รวมแนวคิดของ midlet ที่เป็นโปรแกรมประยุกต์ Java ขนาดเล็กคล้ายกับ applet แต่ midlet สอดคล้องกับ CLDC และ MIDP และมุ่งไปที่อุปกรณ์เคลื่อนที่

อุปกรณ์กับระบบที่ใช้ประโยชน์ J2ME มีให้แล้วและคาดว่าจะมีมากขึ้นในอนาคตอันใกล้

            โอเพนซอร์ซ คือ คือวิธีการในการออกแบบ พัฒนา และแจกจ่ายสำหรับต้นฉบับของสินค้าหรือความรู้ โดยเฉพาะซอฟต์แวร์ โดยโอเพนซอร์ซถูกพิจารณาว่าเป็นทั้งรูปแบบหนึ่งในการออกแบบ และแผนการในการดำเนินการ โดยโอเพนซอร์ซเปิดโอกาสให้บุคคลอื่นนำเอาระบบนั้นไปพัฒนาได้ต่อไป




           เริ่มต้นจากการเคลื่อนไหวภายใต้ชื่อซอฟต์แวร์เสรี (free software) ในช่วง พ.ศ. 2526 จนกระทั่งในปี 2531 คำว่าซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ซได้ถูกนำมาใช้แทนคำว่า "ฟรี" เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจและให้ความรู้สึกสบายใจต่อทั้งผู้ใช้และผู้พัฒนา รวมถึงคำว่า ฟรี ในลักษณะของคำว่าเสรีนอกเหนือจากคำว่าฟรีในลักษณะไม่เสียค่าใช้จ่าย ผู้ใช้งานรวมถึงผู้พัฒนาสามารถนำซอฟต์แวร์มา ใช้งาน แก้ไข แจกจ่าย โดยสามารถนำมาปรับปรุงทั้งในลักษณะส่วนตัว หรือในหน่วยงานเอกชนได้ ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ซอนุญาตให้ทุกคนสามารถนำซอฟต์แวร์ไปพัฒนา รวมถึงวางขายและทำการตลาด ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ซที่เป็นที่รู้จักกันดีได้แก่ เพิร์ล, ไฟร์ฟอกซ์, ลินุกซ์, อะแพชี เว็บเซิร์ฟเวอร์ ลักษณะเงื่อนไขทางลิขสิทธิ์ที่นิยมได้ สัญญาอนุญาตสาธารณะทั่วไปของกนู (จีพีแอล) และ สัญญาอนุญาตแจกจ่ายซอฟต์แวร์ของเบิร์กลีย์ (บีเอสดี) จากรายงานของกลุ่มสแตนดิชประมาณการประหยัดงบประมาณจากการใช้งานซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ซได้ 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อปีแนวทางประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สในองค์กร ทางเลือกเพื่อปรับระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์ ให้สอดคล้องกับระบบการทำงานและสถานะขององค์กร ที่มีความแตกต่างกันทั้งด้านประเภทธุรกิจ และขนาดขององค์กร




           การประยุกต์ใช้งานของออราเคิลให้ทางเลือกที่สมบูรณ์และเส้นทางที่ปลอดภัยสำหรับลูกค้าที่ได้รับประโยชน์จากความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด Oracle Applications Unlimited คือความมุ่งมั่นของออราเคิลในการเลือกของลูกค้าผ่านการลงทุนอย่างต่อเนื่องและนวัตกรรมในการให้บริการใช้งานในปัจจุบัน

         ชุดที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาที่สมบูรณ์และเป็นทางเลือกที่จะขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับแต่งทางธุรกิจขององค์กรของพวกเขาและกลยุทธ์ด้านไอที เพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนไอทีของพวกเขาและใช้เป็นกลยุทธ์ของความแตกต่าง ออราเคิลรุ่นต่อไป สร้างเมื่อความมุ่งมั่นที่และถูกออกแบบมาเพื่อ ทำงานและสร้างมูลค่าทางธุรกิจเชิงกลยุทธ์ที่มีการประยุกต์ใช้งานของออราเคิลนำเสนอไม่ จำกัด จำนวน ยึดมั่นในนโยบายการสนับสนุนของออราเคิลที่ช่วยให้อายุการใช้งานให้แน่ใจว่าลูกค้าจะยังคงมีทางเลือกในเส้นทางการปรับรุ่น,ตามความต้องการขององค์กรของพวกเขา





อะไรคือเว็บเซอร์วิส
1. เว็บเซอร์วิส คือสิ่งทำให้แอพพลิเคชั่นของคุณ กลายเป็นเว็บแอพพลิเคชั่น
2. เว็บเซอร์วิส ทำให้แอพพลิเคชั่นอื่น บนคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น เรียกใช้งาน แอพพลิเคชั่นของคุณได้ แม้ว่าจะอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ 

    คนละแพลตฟอร์ม หรือใช้ภาษาที่ใช้พัฒนาแอพพลิเคชั่นต่างกันก็ตาม

เว็บเซอร์วิส คือแอพพลิเคชั่น ที่ถูกสร้างให้รอรับการเรียกใช้งานจากแอพพลิเคชั่นอื่นบนอินเตอร์เน็ต โดยสื่อสารกันด้วยข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบ XML ซึ่งรูปแบบ XML ที่ใช้นี้ ถูกกำหนดเป็นมาตรฐานชื่อว่า SOAP โดยข้อมูลอาจถูกส่งผ่านทางโปรโตคอล HTTP ,SMTP หรือ FTP แต่ที่นิยมใช้มาก คือ HTTP

เว็บเซอร์วิส ประกอบด้วยอะไรบ้าง ?
· แอพพลิเคชั่น - โปรแกรมที่ทำหน้าที่ให้บริการ
· SOAP - โปรโตคอลที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างแอพพลิเคชั่น
· WSDL - ไฟล์ที่เก็บวิธีการเรียกใช้งาน Web Service
· UDDI - ไดเรกทอรีที่รวบรวม WSDL จำนวนมากเข้าไว้ด้วยกัน


ส่วนประกอบของเว็บเซอร์วิส
          แอพพลิเคชั่น - สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือแอพพลิเคชั่นที่ให้บริการเว็บเซอร์วิสนั่นเอง แอพพลิเคชั่นที่จะให้บริการเว็บเซอร์วิส ควรจะอยู่บนเครื่องเว็บเซิฟเวอร์ที่เปิดให้บริการตลอดเวลา สามารถติดต่อด้วยโพรโตคอล HTTP ได้ และพัฒนาด้วยภาษาที่มีความสามารถจัดการกับ SOAP โดยอาจเป็นโมดูลเสริม หรือมีคลาสให้เรียกใช้งานก็ได้ ไม่อย่างนั้นคุณอาจจะต้องพัฒนาโปรแกรม ให้สามารถรับ/ส่งข้อมูลในรูปแบบ SOAP ด้วยตนเอง ซึ่งวิธีหลังนี้จะลำบากกว่ากันมิใช่น้อย

SOAP คืออะไร
SOAP(Simple Object Access Protocol) - คือโปรโตคอลหรือระเบียบวิธีในการสื่อสารระหว่างเว็บเซอร์วิส โดยใช้ข้อมูลที่กำหนดรูปแบบด้วยภาษา XML ทำให้เว็บเซอร์วิสสามารถสื่อสารกันได้แม้ว่า จะอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์คนละเพลตฟอร์ม หรือพัฒนาด้วยภาษาโปรแกรมที่ต่างกันก็ตาม
เมื่อผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่น ต้องการใช้งาน เว็บเซอร์วิส ผู้พัฒนาก็เพียงแค่เขียนโปรแกรมเพื่อติดต่อกับโมดูล SOAP ในภาษาที่ตนใช้ จากนั้น SOAP ก็จะสร้าง SOAP message เพื่อติดต่อกับแอพพลิเคชั่นปลายทางให้โดยอัตโนมัติ


WSDL คืออะไร 
Web Services Description Language (WSDL) คือ เอกสาร XML ที่อธิบายรายละเอียดในการติดต่อกับเว็บเซอร์วิส เพื่อให้ แอพพลิเคชั่นที่ต้องการเรียกใช้เว็บเซอร์วิสรู้ว่าเซอร์วิสนั้นให้บริการอะไรบ้าง และจะติดต่อได้อย่างไร

UDDI คืออะไร
UDDI (Universal Description, Discovery and Integration) เป็นไดเรกทอรี ที่เก็บรวบรวม Web Service ที่มีการลงทะเบียนไว้ ซึ่งอาจรวมไปถึงบริการอื่นๆที่เป็นอิเลคทรอนิกส์ และไม่เป็นอิเลคทรอนิกส์ด้วย UDDI จะเก็บรวบรวมข้อมูลของ Web Service ต่างๆไว้ในรูปแบบ WSDL
หน้าที่ของ UDDI จะคล้ายกับ เว็บไดเรกทอรี กล่าวคือ UDDI ช่วยให้ผู้พัฒนา Web Service ได้ประกาศหรือประชาสัมพันธ์บริการของตนเองสู่สาธารณะ และช่วยให้ผู้ใช้ Web Service ค้นพบ Web Service ที่ต้องการใช้งาน


การพัฒนาบริการเป็นเว็บเซอร์วิสด้วย PHP 5.0
ความจริงแล้วมีหลายภาษาที่สามารถนำมาพัฒนาเป็นเว็บเซอร์วิสได้ แต่ในบทความนี้จะขอแนะนำการพัฒนาด้วยภาษา php เวอร์ชั่น 5.0 ขึ้นไป เนื่องจาก PHP 5.0 เป็นของฟรี และมีการใช้งานเป็นที่แพร่หลายอยู่แล้ว สิ่งที่เราต้องทำก็คือ แอพพลิเคชั่นสำหรับบวกเลข จากนั้นจึงพัฒนาให้มีการรับอินพุตและ ส่งค่ากลับด้วย SOAP และในขั้นสุดท้ายก็คือการสร้าง wsdl สำหรับอธิบายการ เชื่อมต่อกับเว็บเซอร์วิสบวกเลขนี้





7 ขั้นตอนในการวางแผนสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซให้ประสบความสำเร็จ
           เว็บไซต์ที่ดีก็คือเว็บไซต์ที่มีการวางแผนไว้ดี! แน่นอน คุณสามารถจะสร้างเว็บไซต์แบบตามบุญตามกรรมได้... และผมแน่ใจว่าคุณคงได้เห็นผลที่คิดแบบตามบุญตามกรรมได้ในทุกวันนี้เช่นกัน! ไซต์ที่มีการออกแบบด้วยองค์ประกอบที่คละกันไปหมด ทั้งฟอนต์, ภาพกราฟิกและการเลือกบทความและหัวเรื่องที่สุ่มมา เห็นเทคนิคอะไรใหม่หรือลูกเล่นแพรวพราวก็หยิบมาใส่ในเว็บไซต์ โดยไม่ได้คำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายของตนเอง
          ถ้าคุณต้องการพัฒนาเว็บไซต์ให้ประสบความสำเร็จ คุณต้องวางแผนด้วยความระมัดระวัง นี่เป็นลิสต์รายการสิ่งที่คุณจำเป็นต้องคิดถึงก่อนที่จะเริ่มพัฒนา... และขณะที่กำลังอยู่ในระหว่างการสร้างเว็บไซต์ของคุณ ลิสต์นี้จะแบ่งออกเป็น 7 กลุ่มหลัก... แต่ละส่วนจะมีลิสต์ของมันเองที่จะต้องทำ ขึ้นกับชนิดของธุรกิจที่คุณอยู่ คุณอาจจะไม่ต้องมีทุกขั้นตอน แต่สิ่งนี้จะช่วยชี้ประเด็นที่คุณจำเป็นต้องคิดถึง...บางครั้งคุณต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง... และการกระทำนั้นอาจจะทำให้คุณจำเป็นต้องเดินทางไกลก็ได้

1. ตั้งบริษัทของคุณ
        ชื่อและตัวบริษัทที่ตั้งขึ้นมาเป็นทรัพย์สินหรือนิติบุคคล (คุณอาจจะต้องเช็ค, เลือกและจดทะเบียนโดเมนเนมในเวลาเดียวกัน ถ้าชื่อบริษัทของคุณและ URL เป็นชื่อเดียวกัน คุณจะได้เรตติ้งที่สูงขึ้นจาก Search engines) เริ่มจดทะเบียนโดเมนเนมเสียวันนี้

2.เนื้อหาในเว็บไซต์
        อย่าไปประเมินเวลาที่ใช้ในการเซ็ทอัพและการดูแลข้อมูลที่เว็บไซต์ของคุณต่ำเกินไป การดูแลและเพิ่มข้อมูลเข้าไปในเว็บไซต์ของคุณต้องมีการวางแผนและหลักในการพิจารณา ถ้าคุณต้องการให้คนที่เข้าชมกลับมาอีกเรื่อยๆ คุณต้องมีเหตุผลให้พวกเขากลับมา สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเองอย่างบังเอิญแน่นอน คุณต้องนำข้อมูลที่ล้าสมัยออกจากไซต์ของคุณและใส่ข้อมูลใหม่เข้าไปและหาเหตุผลให้กับผู้เข้าชมในการกลับมาที่ไซต์ของคุณบ่อยๆ

3.การเลือก ISP และโฮสต์ให้กับเว็บไซต์ 
        การเลือกโฮสต์ให้กับเว็บไซต์และ ISP เป็นสิ่งสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจของคุณ คุณสามารถจะขายสินค้าให้กับผู้เข้าชมของคุณได้ ถ้าพวกเขาสามารถจะเข้ามาดูที่เว็บไซต์ของคุณได้สะดวก คุณจะเสียเวลาและเสียเงินมากในการเปลี่ยนโฮสต์ ถ้าพวกเขาไม่ได้ให้บริการกับคุณตามที่ได้ตกลงกันไว้ คุณอย่าลืมว่า "คุณจ่ายยังไง คุณก็ได้อย่างนั้น" นั่นคือว่า ถ้าคุณต้องการของถูก คุณก็จะได้บริการที่แย่มากตอบแทน! ISP และเว็บโฮสต์ของคุณถือว่าเป็นผู้ร่วมธุรกิจของคุณ ให้เลือกด้วยความระมัดระวัง!

4.ระบบการบริหารจัดการธุรกิจของคุณสู่ความสำเร็จ
        คุณต้องสามารถควบคุมงานจำนวนมากที่มีเข้ามาในแต่ละวันให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในเวลาอันจำกัด การจะทำงานแบบนี้ได้คุณต้องจัดการและมีเครื่องมือ (ในที่นี้ก็คือซอฟท์แวร์) ที่เหมาะสม คุณต้องเตรียมการพวกนี้ให้พร้อมและต้องมองเผื่ออนาคตว่าคุณจะต้องโต ไม่มีอะไรที่จะแย่ไปกว่าการที่มีธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็วจนคุณไม่สามารถจะจัดการกับมันได้! ถ้าคุณไม่ได้เตรียมพร้อม คุณจะทำลายชื่อเสียงของคุณเองและทำลายธุรกิจของคุณ... และเมื่อมันเสียหายไปแล้ว นั่นก็ยากที่จะกอบกู้ขึ้นมาได้ ดังนั้นคุณต้องมั่นใจว่า ธุรกิจของคุณมีระบบที่พร้อมจะรุกไปข้างหน้าได้

5.E-Commerce Solutions
       
  เพื่อที่จะให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณประสบความสำเร็จได้... คุณต้องมีรูปแบบของธุรกิจออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จอยู่ในหัว! ถ้าคุณจะทำอีคอมเมิร์ซ นั่นหมายความว่า คุณต้องมีระบบการชำระเงินที่ดีและมีซอฟท์แวร์ Shopping cart ที่เหมาะสม ถ้าคุณทดลองใช้วิธีการต่างๆ เพื่อลองผิดลองถูกกับธุรกิจของคุณไปเรื่อยๆ ... คนส่วนใหญ่ก็จะไม่จริงจังกับคุณมากมายนัก ต่างจากพวกมืออาชีพที่เข้าใจและรู้จักเลือกใช้บริการอีคอมเมิร์ซที่จะทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจในตัวพวกเขา


6.โปรโมชั่นและการตลาด
    การทำโปรโมชั่นและการตลาดส่วนใหญ่จะเป็นแบบออนไลน์... อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่ายังมีโลกส่วนใหญ่อีกที่ไม่ได้อยู่ในอินเตอร์เน็ต  การตลาดเริ่มต้นตอนที่คุณเลือกโดเมนเนมของคุณเอง มันควรจะสั้นและจำได้ง่ายใช่มั้ยครับ? แต่ก็ไม่แน่เสมอไป ขอให้มันเป็นคำหรือประโยคที่เข้าใจง่ายสื่อถึงธุรกิจที่คุณทำและจำได้ง่าย ซึ่งคำพวกนี้อาจจะยาวมากก็ได้ เช่นปัจจุบันนี้อาจจะยาวถึง 30 - 60 ตัวอักษรก็มี
7.ติดต่อกับลูกค้าของคุณอย่างสม่ำเสมอ
        
รายชื่อลูกค้าของคุณมีค่ายิ่งกว่าทอง พยายามเก็บรักษาให้ดีและอัพเดตอยู่ตลอดเวลา... และถ้าคุณบอกกับลูกค้าของคุณว่า คุณไม่ได้ให้หรือขายรายชื่ออีเมล์แอดเดรสของพวกเขา... ต้องแน่ใจว่าคุณไม่ได้ทำ!

พิจารณาส่ง Newsletter สัปดาห์ละครั้งหรือเดือนละครั้งเพื่อรักษาการติดต่อกับพวกเขาไว้ตลอด

ระมัดระวังในสิ่งที่คุณพูด การติดต่อทางอีเมล์เป็นสิ่งที่เปราะบางและคนอ่านอาจจะเข้าใจความตั้งใจของคุณผิดได้ ห้ามติดต่อในขณะที่คุณกำลังหัวเสีย... และผมขอเตือนว่า คุณอย่าตอบโต้กับพวกเฟลม (คำตำหนิ, คำด่า, คำสาปแช่ง) ไม่ว่าในกรณีใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าคุณไม่ต้องการจะรับอีเมล์ที่มีคำพวกนี้อยู่ คุณสามารถจะใช้ Mailloop กรองแล้วจัดการทำลายคำเหล่านี้ก่อนที่คุณจะได้เห็นมันได้






Shopping Cart คืออะไร
            Shopping Cart คือซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่เป็นเสมือนตะกร้าหรือรถเข็นสินค้าที่ลูกค้าใช้ระหว่างการเลือกสินค้าบนเว็บไซต์ ซึ่งจะเก็บข้อมูลต่างๆของสินค้าทุกชิ้นที่ถูกเลือกไว้แล้ว เช่น รหัสสินค้า ราคา และจำนวนสินค้า ในขณะที่ลูกค้ากำลังเลือกสินค้าอื่นอยู่หรืออยู่ระหว่างรอชำระเงิน ระบบนี้จะเอื้ออำนวยให้ลูกค้าสามารถตรวจดูรายการสินค้า เพิ่มสินค้าใหม่ ย้ายสินค้าเดิมออก หรือเปลี่ยนแปลงจำนวนสินค้าตามที่ต้องการ ตราบใดที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบชำระเงิน ระบบการทำงานดังกล่าวนี้สามารถสร้างขึ้นเองได้โดยใช้สคริปต์ของบางโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เช่น ASP , CGI, หรือPHPบวกกับการทำงานของคุ้กกี้ในกรณีที่มีรายการสินค้าให้เลือกไม่มากนัก แต่สำหรับเว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่มีรายการสินค้าให้เลือกเป็นจำนวนมากมักจะใช้การซื้อซอฟต์แวร์สำเร็จรูปแทน เพราะมีประสิทธิภาพสูงกว่าและรองรับข้อมูลได้มากกว่า

ระบบตะกร้าหรือรถเข็น แบ่งเป็น 2 ระบบได้แก่

1.ระบบแบบเติมตัวเลขจำนวนสินค้า


2.ระบบคลิกหยอดสินค้าลงตะกร้าที่ละชิ้น


การคลิกส่งสินค้าในแต่ละครั้งของทั้ง 2 แบบจะเป็นการส่งรหัสสินค้า, ราคา และข้อมูลอื่นๆ เข้าไปยังโปรแกรมประมวลผล เพื่อคำนวณยอดเงินและแสดงรายการที่สั่งซื้อไปแล้ว





          Payment Gateway คือบริการที่ให้ Website สามารถรับชำระค่าบริการธุรกรรมทางการเงินต่างๆ
ผ่านบัตรเครดิตได้ แต่เดิมแล้วบริการ Payment Gateway จะให้บริการผ่านทางธนาคารต่างๆ แต่เนื่องจากความยุ่งยากในการเดินเรื่องเอกสารกับทางธนาคาร ไม่ว่าจะการทำรอบบัญชี การวางวงเงินประกัน การต้องเป็นบริษัท จดทะเบียนต่าง ๆ ทำให้การเปิด Payment Gateway กับธนาคารมักจะเป็นที่ยุ่งยากสำหรับ Website ขนาดเล็กๆ แนวคิดดังกล่าวจึงมีคนหัวใส เปิด Payment Gateway แทนธนาคารดังกล่าว พูดง่ายๆคือเป็นคนกลางให้เรา แทนที่จะไปติดต่อกับทางธนาคาร ก็ให้ติดต่อผ่าน Payment Gateway ของเค้าแทน สิ่งที่เราจะได้รับก็คือ สะดวก รวดเร็ว ที่สำคัญ ไม่ต้องปวดหัว แต่ก็แลกกับ การหักค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าของธนาคารเล็กน้อย






        ระบบการจัดการเนื้อหาของเว็บไซต์(Content Management System : CMS) คือ ระบบที่พัฒนา คิดค้นขึ้นมาเพื่อช่วยลดทรัพยากรในการพัฒนา(Development) และบริหาร(Management)เว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกำลังคน ระยะเวลา และเงินทอง ที่ใช้ในการสร้างและควบคุมดูแลไซต์ โดยส่วนใหญ่แล้ว มักจะนำเอา ภาษาสคริปต์(Script languages) ต่างๆมาใช้ เพื่อให้วิธีการทำงานเป็นแบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็น PHP, Perl, ASP, Python หรือภาษาอื่นๆ(แล้วแต่ความถนัดของผู้พัฒนา) ซึ่งมักต้องใช้ควบคู่กันกับโปรแกรมเว็บเซิร์ฟเวอร์(เช่น Apache) และดาต้าเบสเซิร์ฟเวอร์(เช่น MySQL)

        ลักษณะเด่นของ CMS ก็คือ มีส่วนของ Administration panel(เมนูผู้ควบคุมระบบ) ที่ใช้ในการบริหารจัดการส่วนการทำงานต่างๆในเว็บไซต์ ทำให้สามารถบริหารจัดการเนื้อหาได้อย่างรวดเร็ว และเน้นที่การ จัดการระบบผ่านเว็บ(Web interface) ในลักษณะรูปแบบของ ระบบเว็บท่า(Portal Systems) โดยตัวอย่างของฟังก์ชันการทำงาน ได้แก่ การนำเสนอบทความ(Articles), เว็บไดเรคทอรี(Web directory), เผยแพร่ข่าวสารต่างๆ(News), หัวข้อข่าว(Headline), รายงานสภาพดินฟ้าอากาศ(Weather), ข้อมูลข่าวสารที่น่าสนใจ(Informations), ถาม/ตอบปัญหา(FAQs), ห้องสนทนา(Chat), กระดานข่าว(Forums), การจัดการไฟล์ในส่วนดาวน์โหลด(Downloads), แบบสอบถาม(Polls), ข้อมูลสถิติต่างๆ(Statistics) และส่วนอื่นๆอีกมากมาย ที่สามารถเพิ่มเติม ดัดแปลง แก้ไขแล้วประยุกต์นำมาใช้งานให้เหมาะสมตามแต่รูปแบบและประเภทของเว็บไซต์นั้นๆ

ตัวอย่างของเว็บที่สร้างจาก CMS
· Slashdot=>พัฒนาด้วย Perl
· Zope=>พัฒนาด้วย Python
· PHP-Nuke =>พัฒนาด้วย PHP
· Joomla =>พัฒนาด้วย PHP **** ได้รับความนิยมมากในปัจุบัน


การประยุกต์ใช้ CMS
ระบบ CMS สามารถนำมาประยุกต์ในงานต่างๆ หลากหลาย ตัวอย่างการนำซอฟต์แวร์ CMS มา
ประยุกต์ใช้งาน อาทิเช่น
>> การนำ CMS มาใช้ในการสร้างเว็บไซต์สถาบันการศึกษา ธุรกิจบันเทิง หนังสือพิมพ์ การเงิน การ ธนาคาร หุ้นและการลงทุน 

     อสังหาริมทรัพย์ งานบุคคล งานประมูล สถานที่ท่องเที่ยว งานให้บริการลูกค้า
>> การนำ CMS มาใช้ในหน่วยงานของรัฐ อาทิเช่น งานข่าว งานประชาสัมพันธ์ การนำเสนองานต่างๆ
     ขององค์กร
>> การใช้ CMS สร้างไซต์ ส่วนตัว ชมรม สมาคม สมาพันธ์ โดยวิธีการแบ่งงานกันทำ เป็นส่วนๆ ทำให้
     เกิดความสามัคคี ทำให้มีการทำงานเป็นทีมเวิร์คมากยิ่งขึ้น
>> การนำ CMS มาใช้ในการสร้างเว็บไซต์สำหรับธุรกิจ SME โดยเฉพาะสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่ง   ผลิตภัณฑ์
     หรือ OTOP กำลังได้รับความนิยมสูง
>> การนำ CMS มาใช้แทนโปรแกรมลิขสิทธิ์ อื่นๆ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย และง่ายต่อการพัฒนา
>> การใช้ CMS ทำเป็น Intranet Web Site สร้างเว็บไซต์ใช้ภายในองค์กร




          X-Cart แก้ปัญหารถเข็นช้อปปิ้ง และเป็นเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพตะกร้าช้อปปิ้งที่กำหนดเองสำหรับร้านค้าบนเว็บ X-Cart ขึ้นอยู่เป็น Smarty ของ PHP แม่แบบของเครื่องยนต์และการแบ็กเอนด์ฐานข้อมูล MySQL คุณสมบัติของX-Cart เครดิตการประมวลผลออนไลน์บัตรตัวเลือกของผลิตภัณฑ์การติดตามสินค้าคงคลัง, การติดตามการจัดส่งแบบ real - time, คำสั่งประวัติศาสตร์ภาษีและอัตราการจัดส่งการคำนวณ, สำนักงานที่มีประสิทธิภาพของผู้ดูแลระบบในตัว Web - based แก้ไขแม่แบบการสำรองฐานข้อมูล / คืนค่าตัวเลือกหลาย โหมดการทำงาน -vendor/mall และอื่น ๆ X-Cart เป็นที่เหมาะสำหรับประสิทธิภาพการทำงานที่ราบรื่นและที่มองชัดเจน





เป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอสต์ พัฒนาโดยใช้ภาษา php กับ MySQL เป็นฐานการพัฒนา เป็นซอฟแวร์เผยรหัสประเภท Content Management System (CMS) ที่ใช้ในการจัดการบริหารร้านค้าออนไลน์ผ่านอินเตอร์เน็ต เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทำร้านขายสินค้าผ่านเน็ต ผู้ดูแลสามารถบริหารร้านค้าผ่านเครื่องมือ Administration Tool โดยมีรายการคร่าวๆดังนี้

- ปรับแต่งหน้าร้าน (Configuration)

- เพิ่มรายการสินค้า สามารถแบ่งแยกเป็นประเภทๆได้ (Catalog)

- เพิ่มเติมโปรแกรมอิสระ อาทิระบบ Payment Shipping ได้ (Modules)

- ปรับเปลี่ยน ทำเลที่ตั้ง และภาษีได้ (Locations/Taxs)

- ตรวจสอบรายชื่อลูกค้า รายการสินค้าที่สั่งซื้อ (Customers)

- ปรับเปลี่ยนค่าเงินและภาษาได้หลายหลายรูปแบบ (Localization)

- มีรายงานสรุปผลิตภัณฑ์ และรายการสินค้า (Reports)

- สามารถทำการสำรองฐานข้อมูล ปรับเปลี่ยนแบนเนอร์ และเปลี่ยนคุณสมบัติไฟล์ได้ (Tool)

- และอื่นๆมากมาย

ทรัพยากรที่ต้องการ

- โปรแกรมเว็บเซิร์ฟเวอร์ Apache / IIS / PWS / OmniHTTPd

- โปรแกรมภาษา PHP

- โปรแกรมฐานข้อมูล MySQL

- โปรแกรม phpMyAdmin ใช้สำหรับแก้ไขและสำรองฐานข้อมูล




          ระบบบริหารจัดการข้อมูลเว็บไซต์ (Content Management System) หรือ CMS เป็นระบบที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการพัฒนา และบริหารจัดการเว็บไซต์ โดยที่ผู้พัฒนา และอัพเดตข้อมูลในระบบไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการพัฒนาเว็บไซต์ หรือเขียนโปรแกรมมาก่อน

         ปัจจุบัน CMS ส่วนมากมีรูปแบบเป็น Web-Based Application ที่สามารถทำงานผ่าน Web Browser ได้สะดวกในการใช้งาน สามารถอัพเดตข้อมูลเว็บไซต์ของตนเองได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด และไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมไว้บนเครื่องลูกข่าย ต่างกับการใช้งานเครื่องมือที่ใช้ออกแบบเว็บไซต์ เช่น Adobe Dreamweaver ที่ต้องติดตั้งโปรแกรมไว้บนเครื่องที่จะใช้งานจึงแก้ไขเว็บไซต์ได้
          CMS ได้รับการพัฒนามาจากหลายภาษา อาทิ JAVA, ASP, PHP เป็นต้น แต่โดยส่วนใหญ่ที่ออกมาจะเป็นภาษา PHP เนื่องจากเป็นเทคโนโลยี Open Source และใช้งานง่ายกว่าโปรแกรมอื่นๆ

          CMS เป็นเว็บไซต์กึ่งสำเร็จรูปมีระบบบริหารจัดการข้อมูลด้านหลัง (Administrator) ที่ง่ายต่อการใช้งานและแก้ไขปรับแต่ง โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม ทำให้สามารถสร้างเว็บไซต์ได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว

         
จุดต่างระหว่าง CMS กับเว็บไซต์สำเร็จรูปที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ CMS ที่นำไปใช้งาน เช่น Joomla!, Mambo, WordPress เป็นต้น จะมีค่าใช้จ่ายในเรื่องของ Hosting แต่สามารถจัดการหน้าตาเว็บไซต์ และโปรแกรมเสริม ให้เหมาะสมกับความต้องการของตนเองได้

         
ในขณะที่เว็บไซต์สำเร็จรูป จะมีค่าบริการรายปีในราคาค่อนข้างต่ำ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบของเว็บไซต์รวมถึงความสามารถของโปรแกรมนั้นได้ อีกทั้งพื้นที่ และระบบการจัดการเว็บไซต์ยังขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการอีกด้วย

         
นอกจากนี้ผู้ใช้ CMS ยังสามารถปรับแต่งเว็บไซต์ของตนเองได้อย่างอิสระ สามารถสร้างแบรนด์ และความแตกต่างของตัวเว็บไซต์ให้ต่างไปจากเว็บสำเร็จรูป โดยเจ้าของเว็บไซต์สามารถจัดการโดเมนเนมได้เองทั้งหมด ในขณะที่เว็บสำเร็จรูปนั้น ผู้ให้บริการจะเป็นคนจัดการให้ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะไม่ให้สิทธิ์ในการแก้ไขใดๆ แก่ผู้ใช้งาน

          ความแตกต่างอีกอย่างที่สำคัญคือ ผู้ใช้งานสามารถนำ CMS ไปติดตั้งที่ใดก็ได้ โดยไม่ผูกติดกับผู้ให้บริการรายใดรายหนึ่ง หรือแม้กระทั้งการนำ CMS มาใช้งานเป็น Intranet ภายในองค์กร

          CMS โดยทั่วไป จะแยกส่วนของระบบการทำงาน เนื้อหาข้อมูล และส่วนของหน้าตาเว็บไซต์ออกจากกัน ทำให้งานในการปรับเปลี่ยนแก้ไขหน้าตาเว็บไซต์ทำได้ง่ายและรวดเร็ว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีระบบบริหารจัดการพื้นฐานเหล่านี้มากับตัวระบบ อาทิ เช่น
-ระบบจัดการหน้าตาเว็บไซต์ (Theme, Template)
-ระบบจัดการเนื้อหาข้อมูล (Content)
-ระบบจัดการแถบป้ายโฆษณา (Banner)
-ระบบสมาชิก (User Management)


          นอกจากนี้ยังสามารถพัฒนา/ติดตั้งชุดโปรแกรมในการทำงานต่างๆ เพิ่มเติมได้ (Plugin/Component/Module) อาทิ เช่น
-ระบบจัดการร้านค้า (Shoping Cart)
-ระบบห้องแสดงภาพ (Photo Gallery)
-ระบบกระดานสนทนา (Webboard) 
-ระบบแสดงผลไฟล์วิดีโอ (VDO Clip)

         รวมทั้งสามารถพัฒนาระบบให้ตรงตามความต้องการของการใช้งานในองค์กร อาทิ
-ระบบบริหารจัดการองค์ความรู้ (Knowledge Management)
-ระบบจองห้องประชุม (Meeting Reservation)
-ระบบจัดการทรัพย์สิน (Asset Management)
-ระบบงานคลัง (Budget Report)
-ระบบฝึกอบรม (Training Management)





          เป็น web site ที่ผู้ใช้สามารถที่เข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆได้อย่างรวดเร็วเช่น sanook,yahoo,mthai โดยที่ portal จะคำนึงถึงผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง กล่าวคือข้อมูลข่าวสารที่แสดงจะเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้หรือเป็นข้อมูลที่ผู้ใช้สนใจเท่านั้น
        ปัจจุบันนี้จะเห็นว่า มีผู้สนใจที่จะเข้ามาทำเว็บท่าเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากขึ้นกว่าในยุคแรกๆ ข้อมูลพื้นฐฟานของเว็บท่า การที่จะทำเว็บไซต์ให้ประสบความสำเร็จนั้น มีองค์ประกอบหลายอย่างมากมายตั้งแต่สาธารณูประโภคทางไอที ไปจนถึงเทคนิคทางการตลาดต่างๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต่างก็ต้องมีจุดเริ่มต้น มาจากการวางจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนเป็นพื้นฐาน อีกทั้งยังต้องการความยืดหยุ่น (flexibility) ในการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างสูง


Portal ต่างจาก Web site ทั่วไปอย่างไร
          web site ทั่วไป ผู้ใช้จะต้องใช้วิธีการต่างๆในการค้นหาข้อมูลที่ต้องการเช่น search engine เป็นต้น และบ่อยครั้งที่เราหาข้อมูลไม่เจอ แต่ใน portal ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้จะถูกรวบรวมใว้ในที่เดียวกัน โดยที่ข้อมูลนั้นอาจเป็นข้อมูลทั่วไปหรือเป็นข้อมูลที่เป็นส่วนตัวก็ได้หรือกล่าวได้ว่า portal จะคำนึงถึงผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง นอกจากนั้น portal ยังได้จัดเตรียมบริการและ web tools ต่างๆใว้

Portal แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม

HORIZONTAL PORTAL
คือลักษณะของเว็บท่าที่เป็นเหมือนกับประตูทางผ่านไปสู่สิ่งๆต่างๆที่ค่อนข้างจะหลากหลาย โดยที่เนื้อหาที่มีนั้น มักจะไม่ใช่เนื้อหาในเชิงลึก ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นเว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่มีเนื้อหามากมายทั้งหาเพื่อน หางาน ข่าวสารต่างๆทั้งบันเทิงกีฬาฯลฯ ถ้าเปรียบเป็นห้างสรรพสินค้าก็คงจะเป็น ห้างเซ็นทรัล มีทุกสิ่งให้เลือกสรร ตัวอย่างของเว็บท่าประเภทนี้คือ Yahoo.com หรือเว็บท่าของไทยอย่าง Sanook.com หรือ Siam2You.com


VORTAL 
คือเว็บท่าประเภทที่เป็นเหมือนประตูไปสู่เรื่องราวเฉพาะทาง เช่นเว็บเรื่องสุขภาพ, เว็บหางาน, เว็บเกี่ยวกับรถยนต์, เรื่องที่อยู่อาศัย หรือสินค้าและบริการอื่นๆ ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพก็คงจะเหมือนกับพันธ์ทิพพลาซ่าที่ทั้งห้างขายแต่สินค้าที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างเช่นเว็บไซต์ Fool.com ซึ่งเป็นเว็บท่าสำหรับนักลงทุนโดยเฉพาะ

AFFINITY PORTAL
คือเว็บท่าที่นำเสนอเรื่องราวหรือบริการต่างๆสำหรับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดที่นักการตลาดออนไลน์ มีความเชื่อว่าจะสามารถพัฒนาให้เป็น Niche Market ได้ ซึ่งจริงๆแล้วจะคล้ายๆกับเป็น Community เฉพาะกลุ่มก็ว่าได้ ซึ่งภาพลักษณ์ของความเป็นชุมชนนี่เองที่เป็นหัวใจของ AFFINITY PORTAL ซึ่งเว็บไซต์ GAY.com นั้นน่าจะเป็นตัวอย่างของเว็บท่าประเภทนี้ที่ชัดเจนที่สุด






          e-Commerce คือระบบบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์ สามารถนำสินค้าต่างๆขึ้นมาขายบนเว็บไซต์ โดยสมาชิกจะสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านเว็บได้เลย ซึ่งปัจจุบัน e-Commerce Web Open Source ที่ได้รับความนิยมอยู่หลายตัว เช่น osCommerce, Zen-Cart, cpCommerce, Osc2Nuke,PhpShop เป็นต้น
          Web Open Source คือโค้ดหรือสคลิปเว็บไซต์ที่มีผู้พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ในไปใช้ฟรี โดยระบบจะถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่มีความรู้ด้านโปรแกรมมิ่งมาก อีกทั้งยังอนุญาตให้นำไปแก้ไขดัดแปลงหรือพัฒนาต่อได้ไม่จำกัด

ข้อดีและข้อเสียของ Web Open Source
          ข้อดีของ Web Open Source สามารถนำไปใช้งานได้ง่าย และมีประสิทธิภาพสูง ไม่ต้องออกแบบพัฒนาเอง มีโมดูลต่างๆ ให้เลือกใช้ ติดตั้งและดูแลรักษาง่าย แต่ก็จะมีข้อเสียอยู่ก็คือข้อจำกัดในการใช้งานระบบที่อาจจะไม่ตรงตามความต้องการทั้งหมด มีความสามารถไม่ครบ และมีรูปแบบหรือระบบที่ซ้ำกับเว็บอื่นๆ ที่ใช้เหมือนกัน ทำให้ขาดความเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวไป

ตัวอย่าง Open Source E-Commerce Shopping Carts

1. OsCommerce (PHP/MySQL)




2. PrestaShop (PHP/MySQL)



3. Zen Cart (PHP/MySQL)



4. Magento Commerce (PHP/MySQL)



5. Opencart (PHP/MySQL)








         โซลูชั่นเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการช้อปปิ้งออนไลน์ของลูกค้า มันเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนธุรกิจกับธุรกิจตลอดจนธุรกิจการตลาดผู้บริโภค ธุรกิจจำนวนมากได้รับแพลตฟอร์มกันไปรวมกันบนอินเทอร์เน็ต 

เปรียบเทียบทั้งบริการออนไลน์ 

          ธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จัดเป็นบริการจากบริษัท ในประเภท commerce นี้ บริษัท ที่ให้บริการการให้สร้างร้านค้าออนไลน์ คุณมีให้กับการชำระเงิน, แคตตาล็อกสินค้าและการติดตามและอีกมากมาย นอกจากนี้ยังโฮสต์เว็บไซต์ของผู้ค้า ในอีกทางหนึ่งในการกำหนดโซลูชันพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ร้านค้าหรือเจ้าของบริษัท เป็นอิสระในการตัดสินใจและการสร้างเว็บไซต์และร้านช้อปปิ้งออนไลน์สมบูรณ์ ที่กำหนดเองโซลูชันธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ให้บริการความยืดหยุ่นมากขึ้น นี้เป็นไปได้ที่คุณสามารถใช้โอกาสในการสร้างร้านค้าออนไลน์ช้อปปิ้งของคุณเอง อินเทอร์เน็ตได้กลายเป็นวิธีทั่วไปสำหรับช้อปปิ้ง จะสามารถค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดของการใช้และตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ลูกค้าเพียงต้องการที่จะทำให้การชำระเงินออนไลน์ แม้ผู้ค้าปลีกหรือค้าส่งเลือกใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อหาสินค้าเฉพาะในกลุ่ม ด้วยบริการที่กำหนดเองคุณสามารถปรับแต่งเว็บไซต์ตามความต้องการและความชอบของคุณ คุณสามารถดำเนินการวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจว่าเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย หนึ่งสามารถตัดสินใจและการควบคุมระบบการชำระเงินและติดตามการทำธุรกรรมการชำระเงิน หนึ่งพื้นที่ไม่ให้ความยืดหยุ่นมาก จะให้แม่แบบที่นักการตลาดได้ใส่รายละเอียดที่จำเป็น คุณสามารถเลือกบริการเหล่านี้เพื่อดำเนินการบริการอีคอมเมิร์ซในลักษณะที่มีประสิทธิภาพ JSP(JAVA) For E-Commerce ทำระบบสมัครสมาชิก




          Dynamic :เป็นเว็บไซต์ทีสามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องเขียนหน้าเว็บใหม่เอง เช่น กระดานข่าว (Webboard หรือ Forum), Search Engine จะสังเกตได้ว่า เมื่อมีผู้มาตั้งกระทู้ และตอบกระทู้ ก็จะเกิดหน้าเว็บเพจนั้นๆ ขึ้นได้เอง โดยที่เราไม่ได้เป็นคนสร้างหน้าเว็บเหล่านั้นเอง เว็บไซต์รูปแบบนี้จะถูกสร้างด้วยภาษา Script แบบ Server Side Script เช่น PHP, ASP, ASP.Net, JSP และ etc. ไฟล์เอกสารที่ได้จะมีนามสกุล .php, .asp .aspx เป็นต้น และมักจะมีการติดต่อกับ Database เพื่อบันทึกข้อมูลลงใน Database หรือนำข้อมูลจาก Database ออกมาแสดงผลที่หน้าเว็บ ส่วนการทำงานของเว็บไซต์รูปแบบนี้ จะต่างจากแบบ Static โดยเมื่อมีผู้ชมเรียกดูหน้าเว็บเพจ ไฟล์หน้าเว็บเพจนั้นจะถูกแปลและ execute คำสั่งโดยตัว Interpreter ที่ฝั่ง Server ให้อยู่ในรูปแบบเอกสาร HTML ก่อน จึงส่งกลับให้ Web Server เพื่อส่งต่อไปให้ Web browser ของผู้ใช้งานต่อไป การสร้างเว็บไซต์รูปแบบนี้ ต้องอาศัยความรู้ในการเขียนโปรแกรมมากกว่าแบบแรกมาก นอกจากจะต้องมีความรู้พื้นฐาน HTML แล้ว ยังต้องเขียนภาษา Server Side Script จำเป็นต้องรู้เรื่องการจัดการ Database ต้องเขียนภาษา SQL เพื่อจัดการกับข้อมูลใน Database ได้

Dynamic Website  หมายถึง เว็บไซต์ที่หน้าเว็บเพจสามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลเองได้ โดยไม่ต้องเขียนแต่ละหน้าเว็บเพจเอง เช่น กระดานข่าว (Webboard), ระบบสืบค้นข้อมูล

สังเกตได้ว่า เมื่อมีผู้มาตั้งกระทู้ และตอบกระทู้ ก็จะเกิดหน้าเว็บเพจนั้นๆ ขึ้นได้เอง โดยที่เราไม่ได้เป็นคนสร้างหน้าเว็บเพจเหล่านั้นเอง

เว็บไซต์รูปแบบนี้จะถูกสร้างด้วยภาษา Script แบบ Server Side Script เช่น PHP, ASP, ASP.Net, JSP และอื่นๆ ไฟล์เอกสารที่ไ้ด้จะมีนามสกุล .php, .asp เป็นต้น

และมักจะมีการติดต่อกับฐานข้อมูลเพื่อบันทึกข้อมูลลงในฐานข้อมูล หรือนำข้อมูลจากฐานข้อมูลขึ้นมาแสดงผลเป็นหน้าเว็บเพจ

ส่วนการทำงานของเว็บไซต์รูปแบบนี้ จะต่างจากแบบ Static Website โดยเมื่อมีผู้ชมเรียกดูหน้าเว็บเพจ ไฟล์หน้าเว็บเพจนั้นจะถูกแปลและ execute คำสั่งโดยตัว Interpreter ที่ฝั่ง Server ใ้ห้อยู่ในรูปแบบเอกสาร HTML ก่อน จึงส่งกลับให้ Web Server เพื่อส่งต่อไปให้โปรแกรมเว็บเบราเซอร์ของผู้ใช้งานต่อไป

การสร้างเว็บไซต์รูปแบบนี้ ต้องอาศัยความรู้ในการเขียนโปรแกรมมากกว่าแบบแรกมาก นอกจากจะต้องมีความรู้พื้นฐาน HTML แล้ว ยังต้องเขียนภาษา Server Side Script เป็นอย่างน้อย 1 ภาษา ต้องรู้เรื่องการจัดการฐานข้อมูล ต้องเขียน SQL เืพื่อจัดการกับข้อมูลในฐานข้อมูลได้ และถ้าอยากให้ระบบงานทำงานได้อย่างรวดเร็วไม่ต้อง Refresh หน้าจอบ่อยๆ ยังต้องรู้เรื่อง AJAX อีกด้วย






CMS (Content Management System) คืออะไร
เมื่อเว็บไซต์ขององค์กรมีขนาดใหญ่ ก็เป็นเรื่องยาก ในการดูแลเนื้อหาบนเว็บไซต์ CMS (Content Management System) เป็นระบบที่นำเข้ามาช่วยในการจัดการเนื้อหาในเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพมาก โดยความหมายของ Content Management System ของผู้พัฒนาหลายๆ ค่าย อาจมีโมเดลหรือความหมายไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับการออกแบบ แต่โดยภาพรวมสามารถแบ่งโมเดลหลัก ของ CMS ได้สองส่วน ได้แก่ CMA (Content Management Application) และ CDA (Content Delivery Application)


CMA (Content Management Application)
CMA (Content Management Application) เป็นโปรแกรมในส่วนของการจัดการเนื้อหาทั้งหมด ซึ่งโดยปกติจะเป็นโปรแกรมแบบ Web Base Interface โดยในส่วนของ CMA นี้จะยอมให้ผู้ดูแลเว็บไซต์ที่สร้างและแก้ไขเนื้อหา ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในการใช้งานภาษา HTML เพื่อจัดการกับเว็บไซต์เลย การทำงานผ่าน CMA จะทำได้ทั้งการสร้าง แก้ไข ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล โดย CMA จะนำเนื้อหานั้นๆ เข้าไปเก็บไว้ในฐานข้อมูลของระบบ


CDA (Content Delivery Application) 
CDA (Content Delivery Application) เป็นส่วนประกอบที่มีความสำคัญ ซ้ำยังทำงานได้อย่างชาญฉลาด CDA จะทำหน้าที่นำเนื้อหาจากฐานข้อมูลมาแสดงทางเว็บไซต์ โดยมีการควบคุมและจัดการเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้มีความทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ดูแลจัดการรูปแบบของเอกสาร, การเลือกเทมเพลต, การจัดกลุ่มเนื้อหาสำหรับอินทราเน็ต/ เอ็กซ์ทราเน็ต/ อินเทอร์เน็ต, การกำหนดวันหมดอายุของเนื้อหา หรือแม้แต่การเปลี่ยนรูปแบบเอกสารให้อยู่ในรูปของสื่อสิ่งพิมพ์ เช่น โบชัวร์ หรือ แคตาล็อก 

CMS เป็นระบบที่ออกแบบให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยผ่านเวิร์กโฟลว์ ซึ่งการทำงานแบบเวิร์กโฟลว์จะพบเห็นได้ในระบบในระดับไฮเอนด์ทั่วไป เพราะมีประสิทธิภาพสูง และช่วยให้ข้อมูลมีความถูกต้องเสมอ โดยขั้นตอนในการปรับปรุง แก้ไข หรือสร้างเนื้อหาขึ้นมาใหม่ อาจมีเวิร์กโฟลว์ดังนี้

1. ผู้บริหารระดับสูงเห็นชอบให้มีการสร้างเนื้อหาขึ้นมาใหม่

2. ผู้พัฒนาหรือกลุ่มผู้พัฒนาสร้างเทมเพลต และโฟลเดอร์เพื่อรองรับ

3. ตรวจสอบความถูกต้อง

4. กระจายงานสู่กลุ่มพนักงาน

5. กลุ่มพนักงานสร้างเนื้อหาใหม่ หรือแก้ไขเนื้อหา

6. ผู้ดูแลเว็บไซต์อนุมัติ

7. รวบรวมข้อมูลนำขึ้นเว็บไซต์ได้ โดยงานในแต่ละส่วนของเวิร์กโฟลว์สามารถส่งต่อไปยังส่วนใดๆ  

    ของเวิร์กโฟลว์ก็ได้

Content Management System
ที่มีความฉลาดมากๆ จะยอมให้ผู้ดูแลสามารถปรับแต่งเวิร์กโฟลว์ของระบบได้ เพียงแค่ใช้เมาส์ลากแล้ววาง เพื่อปรับแต่งไดอะแกรมของเวิร์กโฟลว์ หรือกำหนดขั้นตอนของเวิร์กโฟลว์กับยูสเซอร์แต่ละรายได้ด้วย เช่น กลุ่มของผู้บริหารระดับสูงสามารถแจ้งข่าวกับพนักงานผ่านทางเว็บไซต์ของระบบอินทราเน็ตในองค์กรได้ทันที หรือการเพิ่มเติมข่าวสาร เนื้อหาจากยูสเซอร์บางราย ต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ดูแลระบบ หรือฝ่ายกฏหมายขององค์กรก่อนนำข่าวสารนั้นเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ (ในกรณีที่เป็นอินเทอร์เน็ต)


Content Management System ทำงานอย่างไร
CMS ช่วยแบ่งโครงสร้างในการจัดการกับเนื้อหาบนเว็บไซต์ โดยแยกส่วนเนื้อหา ออกจากวิธีการแสดงผล ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องแยกกันทำงานได้ 

การออกแบบเทมเพลต
ผู้ออกแบบจะเพียงสร้างเทมเพลตขึ้นมา เพื่อให้รูปแบบการแสดงผลของเว็บไซต์สอดคล้องกัน เมื่อต้องการเปลี่ยนแบบก็เพียงสร้างเทมเพลตใหม่ เพจใดที่ใช้เทมเพลตนี้ก็จะเปลี่ยนการแสดงผลตามด้วย นอกจากนี้ผู้ออกแบบยังสามารถออกแบบเทมเพลตสำหรับอุปกรณ์ต่างแพลตฟอร์ม เช่น เครื่องพีซี, พีดีเอ, โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น

การจัดทำเนื้อหา
ผู้ที่ทำหน้าที่แต่งเนื้อหา จะทำงานผ่านฟอร์มที่เป็นเว็บเบส ในการสร้างเนื้อหาใหม่ๆ หรืออิมพอร์ตไฟล์เอกสารเข้าสู่ระบบ โดยการกรอกข้อมูลลงในฟิลด์ต่างๆ ของแบบฟอร์ม เพื่อให้รายละเอียดว่าเนื้อหานี้เกี่ยวข้องกับอะไร เพื่อระบบจะได้นำไปจัดการต่อได้ถูก 

เวิร์กโฟลว์
ระบบส่วนใหญ่จะให้คุณสามารถออกแบบลำดับขั้นในการทำงานหรือเวิร์กโฟลว์สำหรับส่วนประกอบต่างๆ ของเว็บไซต์ เช่น เนื้อหาจากแผนกต่างๆ จะต้องผ่านการตรวจสอบและอนุมัติจากใครบ้าง

ฐานข้อมูล
ส่วนประกอบต่างๆ ของเว็บไซต์จะถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล และมีแนวโน้มที่จะใช้ XML เพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทั่วถึงมากขึ้น


ประโยชน์ของการใช้ระบบ CMS
1. ผู้ใช้ไม่ต้องจำเป็นต้องมีความรู้เรื่องการสร้างเว็บไซต์ เพียงแค่พิมพ์ข้อมูลได้ก็สามารถสร้างเว็บไซต์ได้
2. สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบของเว็บไซต์ได้ง่ายรวดเร็วด้วย templates ต่าง ๆ
3. มีโปรแกรมเสริมให้เลือกนำมาประยุกต์ใช้งานกับเว็บไซต์นั้นๆ
4. ระบบ CMS เหมาะสำหรับการทำ SEO และตอบสนองต่อรูปแบบ Web 2.0
5. ไม่เสียเวลาในการสร้างเว็บไซต์มาก ช่วยลดกำลังคนและค่าใช้จ่ายในการสร้างและดูแลเว็บไซต์
6. การจัดการเว็บไซต์เป็นไปอย่างมีระบบ ง่ายต่อการดูแล






.........................................................................................................................


คณะผู้จัดทำ

53040687  นางสาวกวิตา อำมาตยนู
53040690  นางสาวกุลธิดา ระรื่น
53040698  นางสาวชไมพร สโมสร
53040712  นางสาวธนาภรณ์ กะชามาศ
53040715  นางสาวธารารัตน์ สรณานุภาพ 
53040729  นางสาวปิยภรณ์ คันโธ
53040772  นางสาวอารีย์ รวมลาภ
53040735  น.ส.เพชรรินทร์ พวงลำใย

หลักสูตรเทคโนโลยีการจัดการ  กลุ่มที่ 1  ชั้นปีที่ 3